ยักษ์ใหญ่ BYD ชะลอตัว? ยอดผลิตลดลง 'สองเดือนติดกัน' ครั้งแรกในรอบ 5 ปี
รอยเตอร์สรายงานอ้างเอกสารแจ้งตลาดหลักทรัพย์วันนี้ (2 ก.ย.) ว่า "บีวายดี" (BYD) ค่ายรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดในโลกจากจีน มียอดการผลิตรถยนต์ในเดือนส.ค. ปรับตัว "ลดลงเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน" และยังนับเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2020 ที่ BYD มียอดการผลิตรายเดือนลดลงติดต่อกัน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ายักษ์ใหญ่อีวีจีนกำลัง "ชะลอการขยายตัวครั้งใหญ่" ที่ดำเนินมาหลายปี
รายงานระบุว่า BYD มียอดการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ทั่วโลก 353,090 คันในเดือนที่แล้ว ลดลง 3.78% จากเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า และยังเป็นการลดลงเดือนที่สอง หลังจากที่ยอดการผลิตในเดือนก.ค. ปรับตัวลง 0.9% ท่ามกลางความพยายามของรัฐบาลจีนที่เข้ามาควบคุมสงครามราคาอันร้อนแรงในประเทศ
ครั้งแรกที่ BYD เคยรายงานยอดขายรายเดือนลดลงติดต่อกันเช่นนี้ คือเมื่อเดือน มิ.ย. และ ก.ค. 2020 และไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลยหลังจากนั้นมาจนถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้ ยอดการผลิตและยอดขายรถยนต์ PHEV ของบีวายดีลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนเม.ย. สวนทางกับกลุ่มรถยนต์ EV โดยรวมที่เติบโตขึ้น 34.4% และปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น 26% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งบริษัทเริ่มผลิตและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า PHEV มาตั้งแต่เดือนเมษายน
ก่อนหน้านี้รอยเตอร์เคยรายงานในเดือนมิ.ย. ว่า BYD ซึ่งเป็นคู่แข่งรายใหญ่ที่สุดของค่ายรถไฟฟ้าอเมริกันอย่าง Tesla "กำลังชะลอการผลิต" โดยลดกะการทำงานในโรงงานบางแห่งในจีน และได้เลื่อนแผนการเพิ่มสายการผลิตใหม่ออกไป
ทางด้าน "ยอดขายในจีน" ปรับตัวลง 14.3% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว เหลือ 292,813 คัน ซึ่ง "ลดลงเป็นเดือนที่สี่ติดต่อกัน" แม้ว่ายอดขายทั่วโลกจะยังคงเพิ่มขึ้นเล็กน้อยก็ตาม โดยข้อมูลที่แจ้งตลาดเมื่อวันจันทร์แสดงให้เห็นว่ายอดขายของ BYD ใน "ยุโรป" กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และมียอดขายแซงหน้า Tesla ในกลุ่มประเทศอียู
อย่างไรก็ตาม ยอดขายในจีนคิดเป็นเกือบ 80% ของยอดขายทั้งหมดของ BYD
เมื่อประมวลตัวเลขในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้พบว่า BYD ซึ่งตั้งเป้าหมายยอดขายรถยนต์ทั่วโลกสูงถึง 5.5 ล้านคันในปีนี้ สามารถบรรลุเป้าไปได้เพียง 52.1% ขณะที่นักวิเคราะห์บางรายกล่าวว่า บริษัทไม่น่าจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ในปีนี้
ทีมนักวิเคราะห์จากธนาคาร China Merchants Bank International ได้ปรับลดประมาณการยอดขายรถยนต์ BYD ลง 5% เหลือ 4.9 ล้านคันสำหรับปีนี้ เนื่องจากเชื่อว่าค่ายรถยนต์จีนรายนี้ "มีความระมัดระวังมากขึ้นเกี่ยวกับสินค้าคงคลัง"
การลดลงของยอดการผลิตและยอดขายเกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่ BYD รายงานว่า "กำไรในไตรมาส 2 ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีครึ่ง" ซึ่งสะท้อนถึงแรงกดดันเรื่องการรักษาความสามารถในการแข่งขันที่เริ่มส่งผลกระทบต่อการทำกำไรของบริษัท และกดดันให้ราคาหุ้นเมื่อวันจันทร์ร่วงลงแรงถึงราว 8%