โบรกจับตา 4 ฉากทัศน์ ‘ตั้งรัฐบาล’ ชี้ชะตา ‘หุ้นไทย’ แนะลงทุนกลุ่มปลอดภัย
“การเมืองไทย” ยังคงร้อนแรงหลังศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดถอดถอนนายกฯ และครม.ทั้งคณะ ทำให้ “การจัดตั้งรัฐบาลใหม่” กลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทุกฝ่ายจับตา โดยมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อย อายุเพียงสั้นๆ ไม่เกิน 4 เดือน ก่อนจะนำไปสู่ “ยุบสภา” และ “เลือกตั้งใหม่” ซึ่งนักวิคราะห์ประเมิน 4 ฉากทัศน์กับสถานการณ์ “ตลาดหุ้น” หลังยังมีความไม่แน่นอน
“กิจพณ ไพรไพศาลกิจ” รองกรรมการผู้จัดการ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า สถานการณ์การจัดตั้งรัฐบาลในสัปดาห์นี้ ซึ่งไทยกำลังมุ่งหน้าสู่การมีรัฐบาลเสียงข้างน้อย ผลจากการเปลี่ยนแปลงคะแนนสนับสนุนแต่ละกลุ่มการเมืองหลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ ประเมินไว้ 4 สถานการณ์การจัดตั้งรัฐบาลและโอกาสเกิดอาจเกิดขึ้นได้ 1.รัฐบาลเสียงข้างน้อยนำโดยพรรคภูมิใจไทยมีความน่าจะเป็น 40% 2.รัฐบาลนำโดยพรรคเพื่อไทยมีความน่าจะเป็น 20% 3.พรรคภูมิใจไทยร่วมมือกับพรรคเพื่อไทยมีความน่าจะเป็น 30% และ 4.ยุบสภา มีความน่าจะเป็นเพียง 10%
ภาพรวมตลาดหุ้นและลงทุนมองเป้าหมายดัชนีไว้ หากเป็นไปตามสถานการณ์ที่ 1 รัฐบาลเสียงข้างน้อยนำโดยภูมิใจไทย มองดัชนีที่ 1,350-1,400 จุด หากเป็นไปในสถานการณ์ที่ 2 และ 3 มองดัชนีที่ 1,300-1,350 จุด และสถานการณ์ที่ 4 ยุบสภา มองดัชนีที่ 1,300 จุด
“ภราดร เตียรณปราโมทย์” ผู้อำนวยการ ฝ่ายสายงานวิจัย บล.เอเชีย พลัส กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองไทยยังคงเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดตั้งรัฐบาลที่ถูกจับตาว่า จะมีความชัดเจนภายในสัปดาห์นี้ ถึงแม้ว่าสถานการณ์จะดูมีความไม่แน่นอน แต่ประเด็นทางการเมืองน่าจะค่อยๆ คลี่คลายลงตามลำดับ และยังไม่ถึงทางตันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไทยจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพียงแต่จะเป็นใคร
ทั้งนี้ แนวโน้มจัดตั้งรัฐบาลมีความเชื่อน่าจะมีการจับมือจัดตั้งรัฐบาลระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ แนวโน้มเป็นไปได้คือ พรรคประชาชนจับมือกับพรรคภูมิใจไทย หรือ พรรคประชาชนจับมือกับพรรคเพื่อไทย แต่หากไม่มีการจับมือกันเลย เนื่องจากพรรคประชาชนอาจมีความกังวลเกี่ยวกับโอกาสที่จะเกิดการรัฐประหารได้ ดังนั้นต้องรอดูกันต่อไปว่าจะเป็นการจับมือกันในรูปแบบใด
อย่างไรก็ตาม หากมีการยุบสภาฉับพลัน ความเสี่ยงสำคัญที่ต้องจับตาหากพรรคประชาชนจับมือกับพรรคภูมิใจไทย แล้วพรรคเพื่อไทยยุบสภาทันทีสถานการณ์เช่นนี้อาจสร้าง “โอเวอร์แฮง” หรือความกังวลหนักต่อตลาดหุ้นและภาพรวมเศรษฐกิจ ซึ่งยุบสภาแบบฉับพลันยังอาจทำให้ดัชนีหลุด 1,200 จุดได้
“ประกิต สิริวัฒนเกตุ” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าวว่า การจัดตั้งรัฐบาลในชุดปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทยหรือภูมิใจไทยจะมีอายุไม่ยาวนานนัก คาดการณ์ว่าจะอยู่ประมาณ 4 เดือน หากมีการยุบสภาภายในสิ้นปีนี้ และมีการเลือกตั้งต้นปีหน้า หรือประมาณก.พ. 2569 การจัดตั้งรัฐบาลใหม่น่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนเม.ย. 2569 ซึ่งรัฐบาลชุดใหม่จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ประมาณเดือนพ.ค.2569 ซึ่งจะมีเวลาเพียงพอในการจัดทำร่างงบประมาณปี 2570 และนำเข้าสู่สภาเพื่อพิจารณาและผ่านความเห็นชอบได้ภายในเดือนส.ค.2569 ซึ่งสถานการณ์นี้ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้งบประมาณไม่สะดุด
ตลาดหุ้นไทยก็ยากที่จะปรับตัวลงอย่างรุนแรง เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนจากผลประกอบการคาดจะไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาทในปีนี้ และแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง ดังนั้น ดาวด์ไซด์ตลาดหุ้นอาจจะไม่ต่ำกว่า 1,200 จุด มากนัก แต่การปรับขึ้นก็ทำได้ยากและจะซบเซา นักลงทุนต่างชาติก็ยังคงไม่นำเงินเข้ามาลงทุน
โดยหุ้นที่เสียประโยชน์ คือหุ้นที่อิงกับนโยบายของรัฐบาลโดยตรง แต่ถ้ามียุบสภาและรัฐบาลใหม่ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย นโยบายนี้ก็อาจจะถูกยกเลิกไป เนื่องจากเป็นโครงการที่ต้องผูกพันงบประมาณข้ามปี และรัฐบาลรักษาการไม่มีอำนาจในการดำเนินการ ดังนั้น หุ้นในกลุ่มนี้มีความเสี่ยงสูงและอาจปรับตัวลง
ส่วนหุ้นที่ได้รับประโยชน์ หรือไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ได้แก่กลุ่มค้าปลีกและท่องเที่ยว ไม่ว่ารัฐบาลชุดไหนเข้ามาก็ยังคงต้องกระตุ้นเศรษฐกิจในกลุ่มนี้ รวมถึงกลุ่มธนาคารไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล