ป.ป.ส. ชี้ ‘เป๊ก ผลิตโชค’ ปฏิเสธตรวจเลือดไม่ผิด แนะเจ้าของคดีใช้ ‘เส้นผม’ แทน
จากกรณี นายผลิตโชค อายนบุตร หรือเป๊ก อายุ 40 ปี ศิลปินนักร้องชื่อดัง ถูกนายชุติเทพ ขุนสูงเนิน อายุ 21 ปี อาชีพขับไรเดอร์ ใช้อาวุธมีดฟันที่คางได้รับบาดเจ็บ ภายในบริเวณปั๊มน้ำมันในซอยรามคำแหง 76 เขตบางกะปิ กทม. ช่วงกลางดึกของวันที่ 3 ส.ค. ส่วนสาเหตุเกิดจากนายชุติเทพ ได้พยายามเข้าห้ามปรามนายเป๊กที่ทะเลาะวิวาทกับลุงขับรถกระบะที่นายเป๊กกระโดดเกาะฝากระโปรงหน้ารถคันดังกล่าว ก่อนจะปรี่เข้าไปหานายชุติเทพ แต่ถูกนายชุติเทพชักมีดสู้ป้องกันตัว ภายหลังตำรวจ สน.หัวหมาก ได้ควบคุมตัวผู้ก่อเหตุไปดำเนินคดี และประสานทีมแพทย์โรงพยาบาลที่ทำการรักษานักร้องชาย เพื่อตรวจเลือดหาสารเสพติดประกอบสำนวนคดี อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ขณะที่เป๊กเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง เจ้าตัวก็ได้ออกมาขอโทษทุกคนกับเรื่องที่เกิดขึ้น พร้อมขอโอกาสแก้ตัวใหม่อีกครั้ง โดยเป็นการอัดคลิปวิดีโอและเผยแพร่ทางเพจเฟซบุ๊กต้นสังกัด “White Music”
กระทั่งล่าสุดวันที่ 8 ส.ค. พ.ต.อ.นเรนทร์ เครื่องสนุก ผกก.สน.หัวหมาก ได้ออกมายอมรับกระแสข่าวที่นักร้องดังปฏิเสธตรวจสารเสพติด โดยให้เหตุผลชี้แจงว่า ทางโรงพยาบาลแจ้งว่าเป๊กไม่ยินยอมให้ตรวจ ซึ่งกฎหมายไม่สามารถบังคับได้ เนื่องจากไม่ได้อยู่ในกรณีเมาแล้วขับ แต่เป็น “เมาแล้วเดิน” และความผิดที่ถูกกล่าวหามีโทษไม่เกิน 3 ปี จึงไม่เข้าเงื่อนไขให้สันนิษฐานผลตรวจเป็นบวก อีกทั้งตำรวจได้ทำหนังสือขอให้โรงพยาบาลตรวจหาสารเสพติดแล้ว แต่แพทย์ปฏิเสธตามสิทธิผู้ป่วย พร้อมทำหนังสือยืนยันการไม่ยินยอม รวมถึงในทางคดีไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะบังคับตรวจหรือยืนยันว่ามีการเสพสารเสพติด จึงทำให้แจ้งข้อกล่าวหาต่อนักร้องดังเบื้องต้น คือ ทะเลาะวิวาท และก่อความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะ ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
เมาแล้วเดิน! ‘เป๊ก ผลิตโชค’ ปฏิเสธตรวจสารเสพติด ตร.ยันไม่ได้ขัดกฎหมาย
เกี่ยวกับเรื่องนี้ “ทีมข่าวอาชญากรรมเดลินิวส์“ ได้ตรวจสอบข้อมูลไปยัง "สำนักงาน ป.ป.ส." เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการตรวจหรือทดสอบว่าบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดมีสารเสพติดอยู่ในร่างกายหรือไม่ ซึ่งอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11/2 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2564 เนื่องจากมีการตั้งข้อสงสัยวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมว่าบุคคลสามารถปฏิเสธการตรวจสารเสพติดในเลือดได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะในกรณีที่ปรากฏพฤติกรรมความเคลื่อนไหวลักษณะผิดปกติจากอาการเมา
โดย สำนักงาน ป.ป.ส. ให้ข้อมูลว่า การตรวจหรือทดสอบหาสารเสพติด หมายความว่า เป็นการตรวจหรือทดสอบหาระดับหรือปริมาณของสารเสพติดอันเกิดจากการเสพยาเสพติด ตามประมวลกฎหมายยาเสพติดโดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งการตรวจหรือทดสอบหาสารเสพติด ให้ตรวจหรือทดสอบจากปัสสาวะ หรือในกรณีจำเป็นเพื่อการตรวจสอบประวัติการเสพสารเสพติดย้อนหลัง ให้หรือทดสอบจากเส้นผม โดยให้ปฏิบัติตามวิธีการตรวจหรือทดสอบของชุดน้ำยาตรวจสอบ อุปกรณ์หรือเครื่องมือแต่ละชนิดสำหรับการตรวจ หรือทดสอบ แล้วแต่กรณี ซึ่งในบทบาทของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. (ไม่เกี่ยวกับกรณีของเป๊ก ผลิตโชค) ในกรณีที่จะต้องตรวจสอบประวัติเกี่ยวกับการเสพสารเสพติดย้อนหลังของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์หรือมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเสพยาเสพติด โดยเป็นกรณีจำเป็นและไม่อาจใช้กระบวนการตรวจหรือทดสอบหาสารเสพติดในปัสสาวะ เพื่อความเป็นธรรมและประโยชน์ของกระบวนการยุติธรรม กฎหมายได้ให้เจ้าพนักงาน ป.ป.ส. สั่งให้ตรวจหาสารเสพติดในเส้นผม โดยให้ดำเนินการร่วมกับเจ้าหน้าที่จากสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ หรือเจ้าหน้าที่จากสถานตรวจพิสูจน์ซึ่งผ่านการอบรมการดำเนินการตรวจหรือทดสอบหาสารเสพติดในเส้นผม
สำนักงาน ป.ป.ส. ให้ข้อมูลด้วยว่า กองกฎหมาย ป.ป.ส. ระบุว่า หลักฐานที่จะใช้ในการพิสูจน์สารเสพติดในร่างกายที่ได้รับการรับรอง มี 2 อย่าง คือ การตรวจสารเสพติดในปัสสาวะ และการตรวจสารเสพติดในเส้นผม ซึ่งเลือด น้ำลาย หรือสารคัดหลั่ง ไม่สามารถตรวจได้ จึงทำให้กรณีดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถบังคับขอตรวจได้ และเจ้าตัวก็มีสิทธิที่จะปฏิเสธการตรวจได้ แต่ถ้าเจ้าพนักงานจะขอตรวจสารเสพติดในเส้นผมจึงจะทำได้ เนื่องด้วยสารเสพติดจะอยู่ในเส้นผมหรือรากผมนานเป็นเดือน ทั้งนี้ ก็ต้องตั้งคำถามกลับไปว่าเหตุใดพนักงานสอบสวนจึงไม่ประสานขอตรวจสารเสพติดในปัสสาวะหรือในเส้นผม ซึ่งถ้าจะไปตรวจสารเสพติดในปัสสาวะ ก็อาจจะไม่เจออะไรแล้ว เพราะมันผ่านเวลามาหลายวัน
สำนักงาน ป.ป.ส. ให้ข้อมูลต่อว่า ในกรณีของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. หากมีการปฏิบัติหน้าที่ลงตรวจตามสถานบันเทิง ผับ บาร์ เพื่อตรวจหาสารเสพติดของนักเที่ยวกลางคืน ส่วนใหญ่เมื่อเป็นเหตุซึ่งหน้า เจ้าพนักงานจะขอทำการตรวจปัสสาวะ เพราะมันจะรู้ผลทันที แต่ถ้าไม่ใช่เหตุซึ่งหน้า แล้วเราต้องตรวจสอบประวัติเรื่องสารเสพติด ก็ต้องใช้การตรวจสารเสพติดในเส้นผมแทน ซึ่งเส้นผมก็จะต้องส่งตรวจพิสูจน์ทางห้องปฏิบัติการ (ห้องแล็บ) ตามระเบียบกฎหมายที่กำหนดไว้
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับรายละเอียดข้อ 15 ตาม ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการตรวจหรือทดสอบว่าบุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดมีสารเสพติดอยู่ในร่างกายหรือไม่ มีการระบุว่า เมื่อสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ หรือสถานตรวจพิสูจน์ หรือโรงพยาบาลหรือมหาวิทยาลัยของรัฐ ได้ดำเนินการตรวจพิสูจน์และออกรายงานผลการตรวจพิสูจน์จากห้องปฏิบัติการแล้ว ให้ถือเกณฑ์การตัดสินผลการตรวจพิสูจน์ว่าเป็นผู้มีสารเสพติดในร่างกาย ดังต่อไปนี้ 1.กลุ่มแอมเฟตามีน และกลุ่มเอ็กซ์ตาซี เมื่อตรวจพบว่ามีสารหรือเมตาบอไลต์ของสารในกลุ่มดังกล่าวอยู่ในเส้นผมตั้งแต่ 0.2 นาโนกรัม/มิลลิกรัม ขึ้นไป 2.กลุ่มโอปิเอต ได้แก่ เฮโรอีน มอร์ฟีน และฝิ่น เมื่อตรวจพบว่ามีสารหรือเมตาบอไลต์ของสารในกลุ่มดังกล่าวอยู่ในเส้นผมตั้งแต่ 0.2 นาโนกรัม/มิลลิกรัม ขึ้นไป 3.กัญชา เมื่อตรวจพบว่ามีสารเตตรา ไฮโดรแคนนาบินอล อยู่ในเส้นผมตั้งแต่ 0.05 นาโนกรัม/มิลลิกรัม ขึ้นไป และตรวจพบว่ามีสารเมตาบอไลต์ของกัญชา ได้แก่ 11-นอร์-เดลต้า-เตตรา-ไฮโดรแคนนาบินอล คาร์บอกซิลิคแอซิด อยู่ในเส้นผมตั้งแต่ 0.0002 นาโนกรัม/มิลลิกรัม ขึ้นไป 4.กลุ่มโคคาอีน เมื่อตรวจพบว่ามีโคคาอีนอยู่ในเส้นผมตั้งแต่ 0.5 นาโนกรัม/มิลลิกรัม ขึ้นไป หรือเมตาบอไลต์ของโคคาอีน อยู่ในเส้นผมตั้งแต่ 0.05 นาโนกรัม/มิลลิกรัม ขึ้นไป และ 5.เคตามีน ตรวจพบว่ามีเคตามีนอยู่ในเส้นผมตั้งแต่ 0.5 นาโนกรัม/มิลลิกรัม หรือเมตาบอไลต์ของเคตามีน อยู่ในเส้นผมตั้งแต่ 0.1 นาโนกรัม/มิลลิกรัม ขึ้นไป.