How to วางแผนการเงิน ให้ร่ำรวยอย่างยั่งยืน
ใครๆ ก็อยากมีชีวิตที่มั่นคงทางการเงิน แต่บางครั้งเรามักถูกดึงดูดด้วยการลงทุนที่เสี่ยงให้ผลตอบแทนสูงในระยะสั้น หรือเน้นแต่การหาเงินให้ได้เยอะๆ จนลืมรากฐานที่สำคัญไป สุดท้ายแทนที่จะกำไรกลับเป็นขาดทุน
วันนี้ เราจะมาทำความเข้าใจ ‘สามเหลี่ยมการเงิน’ (Financial Pyramid) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เราวางแผนการเงินได้อย่างเป็นระบบและมั่นคง
สามเหลี่ยมการเงิน คืออะไร
Financial Pyramid หรือ ‘พีระมิดทางการเงิน’ เป็นเครื่องมือหรือแนวคิดในการวางแผนการเงินที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยเปรียบเทียบการสร้างฐานะทางการเงินให้เหมือนกับการสร้างพีระมิด ซึ่งต้องเริ่มสร้างจากฐานที่มั่นคงและแข็งแรงที่สุดก่อน แล้วจึงค่อยๆ ไปสู่ยอดที่เน้นการสร้างผลตอบแทนสูงสุด
หลักการสำคัญของสามเหลี่ยมการเงินคือ การสร้างรากฐานให้แข็งแรงก่อนเสมอ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น จากนั้นจึงค่อยขยับไปสู่การเก็บออมและการลงทุนเพื่อเพิ่มความมั่งคั่งในระยะยาว
ซึ่งเป็นแนวคิดที่ความคล้ายคลึงกับ ‘ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ (Maslow’s Hierarchy of Needs)’ ของ อับราฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ที่เสนอว่า มนุษย์จะตอบสนองความต้องการในระดับล่างสุด (เช่น ปัจจัยสี่) ก่อนที่จะขยับขึ้นไปสู่ความต้องการในระดับที่สูงขึ้น (เช่น ความปลอดภัย, การยอมรับ, และการบรรลุศักยภาพสูงสุด)
ด้วยเหตุนี้ นักวางแผนการเงินจึงนำหลักการนี้มาปรับใช้กับการเงิน โดยมองว่า
ฐานราก (Foundation):คือความต้องการพื้นฐานที่สุดทางด้านการเงิน ได้แก่ การป้องกันความเสี่ยง และการมีเงินสำรองฉุกเฉิน ซึ่งเทียบเท่ากับความต้องการด้านความปลอดภัยของมาสโลว์
ส่วนกลาง (Middle Section):คือการเริ่มสร้างความมั่งคั่งอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเทียบเท่ากับความต้องการด้านการยอมรับและมีที่ยืนในสังคม
ยอดพีระมิด (Peak): คือการลงทุนเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเงินสูงสุด ซึ่งเทียบเท่ากับการบรรลุศักยภาพสูงสุดของมาสโลว์
วางแผนตามสามเหลี่ยมการเงินอย่างไร
สามเหลี่ยมการเงินเป็นแนวคิดที่ช่วยให้จัดสรรเงินอย่างมีระบบ โดยที่จะแนะนำต่อไปเป็นเพียงแนวทางเริ่มต้น ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามรายได้ เป้าหมาย และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของแต่ละบุคคล
- ฐานราก: การสร้างความมั่นคงและป้องกันความเสี่ยง
เป้าหมาย:ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทำให้เรามีเสถียรภาพทางการเงินและไม่จำเป็นต้องนำเงินออมหรือเงินลงทุนออกมาใช้ในยามวิกฤต
เงินสำรองฉุกเฉิน:
ออมเงินอย่างสม่ำเสมอในแต่ละเดือน เช่น 10-15% ของรายได้ จนกระทั่งมีเงินสำรองเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่าย 3-6 เดือน ควรเก็บไว้ที่บัญชีออมทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง
[* ตัวอย่าง: หากมีค่าใช้จ่ายรายเดือน 20,000 บาท ควรมีเงินสำรองฉุกเฉิน 60,000\-120,000 บาท ]
การประกันภัย
จัดสรรเงินส่วนหนึ่งของรายได้เพื่อชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตและประกันสุขภาพ โดยพิจารณาความคุ้มครองที่เหมาะสมกับความเสี่ยงของแต่ละคน
[* ตัวอย่าง: หากมีรายได้ 30,000 บาท อาจจัดสรรเงิน 5\-10% ของรายได้ หรือประมาณ 1,500\-3,000 บาทต่อเดือน เพื่อเป็นค่าเบี้ยประกัน ]
การจัดการหนี้สิน
จัดสรรเงินรายเดือนเพื่อชำระหนี้สินอย่างมีวินัย โดยพยายามชำระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงก่อน และพยายามไม่ให้มีหนี้เกิน 30-40% ของรายได้ ต่อเดือน
- ตัวอย่าง: หากมีรายได้ 30,000 บาท ภาระหนี้สินรวมทั้งหมดไม่ควรเกิน 9,000-12,000 บาทต่อเดือน
ส่วนกลาง: การเก็บออมและลงทุนเพื่อเป้าหมายระยะกลาง
เป้าหมาย:เมื่อฐานรากมั่นคงแล้ว จึงเริ่มสะสมเงินและสร้างการเติบโตอย่างสม่ำเสมอสำหรับเป้าหมายทางการเงินในระยะกลาง เช่น การซื้อบ้าน การศึกษาของลูก หรือการแต่งงาน โดยการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงไม่สูงมากนัก
เงินออมเพื่อเป้าหมายระยะสั้น-กลาง
จัดสรรเงินสำหรับเป้าหมายที่ต้องการภายใน 1-5 ปี เช่น เงินดาวน์รถ หรือค่าใช้จ่ายสำหรับวันหยุดพักผ่อน
[* ตัวอย่าง: ต้องการเงินดาวน์รถ 100,000 บาท ภายใน 2 ปี \(24 เดือน\) ต้องออมเงินประมาณ 4,200 บาทต่อเดือน ]
การออมเพื่อการเกษียณ
เริ่มต้นวางแผนและออมเงินเพื่อชีวิตหลังเกษียณตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อให้เงินมีเวลาเติบโตได้นานขึ้นผ่านพลังของดอกเบี้ยทบต้น ควรจัดสรรเงินประมาณ 5-15% ของรายได้ เพื่อลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เพื่อให้เงินเติบโตในระยะยาว
[* ตัวอย่าง: หากมีรายได้ 30,000 บาท อาจออมเพื่อเกษียณเดือนละ 3,000 บาท ]
การลงทุนอย่างสม่ำเสมอ
ทำให้เงินงอกเงยด้วยการลงทุนในสินทรัพย์ที่มั่นคง เน้นการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ความเสี่ยงไม่สูงมากนัก เช่น
กองทุนรวม: ง่ายต่อนักลงทุนมือใหม่ เพราะมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลให้
[* พันธบัตรรัฐบาล: การลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างแน่นอน , * เงินฝากประจำ: เหมาะสำหรับการเก็บเงินที่มีเป้าหมายชัดเจนและกำหนดเวลาไม่นาน , * สามารถเริ่มต้นได้ด้วยจำนวนเงินที่ไม่มากนัก เช่น เริ่มต้นลงทุนเดือนละ 1,000\-2,000 บาท ]
ยอดพีระมิด: การลงทุนเพื่อการเติบโตและความมั่งคั่ง
เป้าหมาย:สร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น เก็งกำไร และสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว โดยยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น ใช้เงินเย็นที่พร้อมจะลงทุนในระยะยาว
การลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง
ควรกระจายเงินส่วนนี้ไปในสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับความรู้และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ โดยแนะนำให้เป็นเงินเย็นที่ไม่กระทบต่อชีวิตประจำวัน
หุ้นรายตัว: เหมาะสำหรับผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจ และสามารถวิเคราะห์การลงทุนได้
[ * อสังหาริมทรัพย์: การลงทุนที่ใช้เงินสูง แต่ก็มีโอกาสสร้างรายได้จากค่าเช่าและส่วนต่างราคาในระยะยาว , * การลงทุนในธุรกิจส่วนตัว: สำหรับผู้ที่มีความสามารถในการบริหารและต้องการสร้างธุรกิจของตัวเอง , , * ตัวอย่าง: จัดสรรเงิน 5\-10% ของรายได้ เพื่อลงทุนในหุ้นรายตัว หรือคริปโทเคอร์เรนซี เช่น เงินเดือน 40,000 บาท อาจแบ่งเงินมา 2,000 บาท มาเพื่อลงทุน โดยต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่อาจจะสูญเสียเงินต้นได้ ]
การวางแผนมรดก
อาจพิจารณาทำพินัยกรรมหรือใช้เครื่องมือทางการเงินอื่นๆ เช่น กองทุนรวม หรือประกันชีวิต เพื่อให้การส่งมอบทรัพย์สินเป็นไปอย่างราบรื่น
ข้อดี-ข้อเสีย
สามเหลี่ยมการเงินเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์อย่างมากในการวางแผนการเงิน แต่ก็มีทั้งข้อดีและข้อจำกัดที่ควรทราบเพื่อนำไปปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อดี
- จัดลำดับความสำคัญชัดเจน:รู้ว่าต้องทำอะไรก่อน-หลัง โดยเน้นสร้างความมั่นคงให้แข็งแรงก่อนลงทุน
- ลดความเสี่ยง: การมีเงินสำรองและประกันช่วยป้องกันไม่ให้เราต้องขายสินทรัพย์ลงทุนเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน
- วางแผนได้เป็นระบบ:เป็นกรอบความคิดที่เข้าใจง่าย ทำให้การตัดสินใจทางการเงินง่ายขึ้น
- ปรับใช้ได้กับทุกคน:ไม่ว่าจะมีรายได้เท่าไหร่ ก็สามารถนำหลักการนี้ไปใช้ได้
ข้อเสีย
- ต้องมีการปรับเปลี่ยนเสมอ:แผนการเงินต้องได้รับการทบทวนและปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ชีวิตที่เปลี่ยนไป
- อาจสร้างจุดบอด: หากยึดติดกับแนวคิดนี้มากเกินไป อาจพลาดโอกาสในการลงทุนที่มีผลตอบแทนสูงบางอย่างไป
การเดินทางสู่ความร่ำรวยที่แท้จริงจึงไม่ใช่แค่การเก็บเงินให้มากที่สุด หรือการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนสูงที่สุด แต่คือการ “สร้างสมดุล” ให้กับทุกส่วนของสามเหลี่ยมทางการเงิน เริ่มจากสร้างฐานรากให้แข็งแรงด้วยเงินสำรองฉุกเฉินและประกันภัย จากนั้นจึงค่อยๆ ขยับขึ้นมาสู่การลงทุนเพื่อเพิ่มพูนทรัพย์สิน และสุดท้ายคือการวางแผนส่งต่อความมั่งคั่งอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อไปสู่ความมั่งคั่งที่มั่นคงและยั่งยืนอย่างแท้จริง
ภาพ:koivo / Shutterstock
อ้างอิง: