ลดดอกเงินกู้ 0.25% คาด เม็ดเงินกว่า 5,000 ล้านกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยถึงการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 1.50% ต่อปี ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทันทีทั้งกระดาน 0.25% ถือเป็นการช่วย ลดต้นทุนให้กับภาคธุรกิจ ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ ช่วยลดต้นทุนของธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจที่เป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัวโดยตรง รวมทั้งกลุ่มธุรกิจรายย่อยที่มีอัตราดอกเบี้ยลอยตัว เช่น สินเชื่อบ้าน
โดยประเมินเม็ดเงินที่จะกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจสูงกว่า 5,000 ล้านบาทในช่วงที่เหลือของปีนี้ แต่อาจกระทบ NIM หรือ เครื่องบ่งชี้กำไรของธนาคารเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม คาดว่า ช่วงที่เหลือของปีนี้มีความเป็นไปได้ที่ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงได้อีก แต่ต้องคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจ / ผลกระทบภาษีทรัมป์ และประสิทธิผลของการลดดอกเบี้ยครั้งนี้ ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการต้องเตรียมรับมือกับภาวะเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการหารายได้เสริม
มองว่า การลดดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอ รัฐบาล ต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 69 เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระยะยาว
พร้อมประเมินภาคการส่งออกช่วงครึ่งปีหลัง 68 โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มยานยนต์และอะไหล่ อิเล็กทรอนิกส์เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ตัวเลขน่าจะติดลบขากผลกระทบภาษีทรัมป์ แม้ว่าจะมีการเร่งส่งออกสินค้าไปแล้วช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี
นางสาวธัญญลักษณ์ ยังเปิดเผยว่า ในไตรมาส 2/2568 ภาพรวมหนี้เสียของระบบธนาคารพาณิชย์ 9 แห่งที่เปิดเผยสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ มี NPL ที่ขยับสูงขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า หากเจาะลึกฐานข้อมูลบัญชีลูกหนี้ธุรกิจของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) ซึ่งเป็นข้อมูลไตรมาส 1/2568 พบว่า แม้ทิศทางหนี้ที่มีปัญหา (Stage 2 และ Stage 3) จะทรงตัวจากช่วงปลายปี 2567 แต่ก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 2/2566 ซึ่งเป็นช่วง 1 ปีนับจากมีการเปิดประเทศหลังโควิด-19
ขณะที่ ลูกค้าธุรกิจที่มีขนาดเล็ก ยิ่งมีปัญหาหนี้ NPL เพิ่มขึ้นชัดกว่ากลุ่มอื่น ๆ โดยในกลุ่ม Super Micro NPL มีสัดส่วนสูงถึง 14.81% ของสินเชื่อรวม ตามมาด้วยกลุ่ม Micro ที่ 12.11% และกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก ที่ 9.75% ขณะที่ กลุ่มธุรกิจขนาดกลางและใหญ่ จะอยู่ที่ 6.51% และ 1.37% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ตามเกณฑ์ Responsible Lending (RL) และแนวทางดูแลคุณภาพหนี้เชิงรุกของสถาบันการเงิน ทำให้สัดส่วนหนี้ค้างชำระ 1-30 วัน มีทิศทางปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงกลางปี 2567 เป็นต้นมา
ด้านนายกฤษฏิ์ แก้วหิรัญ นักวิจัยอาวุโส บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า จากข้อมูลคุณภาพหนี้จำแนกตามประเภทธุรกิจ พบว่า ธุรกิจที่เชื่อมโยงกับกำลังซื้อของตลาดในและต่างประเทศ เช่น ภาคการผลิตและกลุ่มที่พักแรม ความน่ากังวลจะอยู่ที่ธุรกิจขนาดกลางที่มีสัดส่วนหนี้ค้างชำระเกิน 30 วันขึ้นไป อยู่ในระดับสูงที่สุด และส่วนที่เป็นธุรกิจเอสเอ็มอีรายเล็ก-ย่อย เริ่มเห็นภาพหนี้ค้างชำระที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ ธุรกิจที่เชื่อมโยงกับกำลังซื้อของตลาดในประเทศ เช่น ธุรกิจค้าส่งค้าปลีก พบว่า คุณภาพหนี้ที่ด้อยลงในกลุ่มเอสเอ็มอีรายเล็ก-ย่อยในช่วงก่อนหน้านี้ ได้ขยายมาสู่ธุรกิจขนาดกลางมากขึ้น ส่วนธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ภาพลบจะขยายมาถึงธุรกิจขนาดใหญ่ด้วย ซึ่งแนวโน้มเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น ทั้งจากผลของการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่กระทบการส่งออก และภาพกำลังซื้อในประเทศที่ซบเซา อาจทำให้แนวโน้มความสามารถในการชำระหนี้ของประเภทธุรกิจต่าง ๆ ข้างต้น มีโอกาสถดถอยลงอีกในไตรมาสที่เหลือของปีนี้
ขณะที่ ดร.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่าเพิ่มเติมว่า ผลการจัดกลุ่มบัญชีสินเชื่อธุรกิจใหม่ตามลักษณะพฤติกรรมการชำระหนี้ของลูกหนี้ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ออกเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย สถานะปกติ (Good) เริ่มไม่ปกติ (Newly Impaired) ดีสลับแย่ (On-Off) และมีปัญหารุนแรง (Distressed) พบว่า 95% ของจำนวนบัญชีสินเชื่อธุรกิจ ยังจัดอยู่ในกลุ่มสถานะปกติ
แต่จุดที่น่าสนใจ คือ สัดส่วนจำนวนบัญชีที่จัดอยู่ในกลุ่มสถานะปกตินี้ เริ่มทยอยลดลงในช่วงหลังโควิด-19 ขณะที่ กลุ่มดีสลับแย่ และกลุ่มที่มีปัญหารุนแรง เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ ภาพดังกล่าวสะท้อนผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจหลายระลอกที่กระทบความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจไทย โดยธุรกิจยิ่งเล็ก ยิ่งมีสัดส่วนของบัญชีสินเชื่อกลุ่มสถานะปกติลดลงเมื่อเวลาผ่านไป
นอกจากนี้ แม้การปรับโครงสร้างหนี้จะมีส่วนช่วยชะลอการไหลลงไปสู่ชั้นหนี้เสีย แต่การปรับโครงสร้างหนี้จะ มีประสิทธิผลที่สุดในการช่วยฟื้นธุรกิจ ก็ต่อเมื่อเข้าไปดูแลตั้งแต่ธุรกิจเริ่มมีสัญญาณการค้างชำระ ไม่ใช่เข้าไปดูแลหลังจากที่กลายเป็น NPL ไปแล้ว เพราะโอกาสการฟื้นตัวของหนี้ NPL กลับมาสู่การจัดชั้นที่ดีขึ้น (ภายในกรอบระยะเวลา 1 ปีหลังจากปรับโครงสร้างหนี้) จะมีไม่ถึง 10%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังเสนอแนะเพิ่มเติมว่า ทางการไทย ควรจัดวางมาตรการดูแลหนี้ให้เหมาะสมกับลักษณะการชำระหนี้ของแต่ละกลุ่มลูกค้า โดยอาจเพิ่มนโยบายสนับสนุนการปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ชั่วคราวให้กับลูกค้าปกติที่ยังไม่ผิดนัดชำระหนี้และเล็งเห็นปัญหาของธุรกิจตนตั้งแต่เนิ่น ๆ รวมถึงอาจเตรียมทำโครงการ Asset Warehousing รอบใหม่ ถือเป็นมาตรการเชิงรุกก่อนที่ลูกหนี้จะกลายเป็น NPL ขณะที่ เมื่อลูกหนี้กลายเป็น NPL แล้ว สิ่งที่ควรทำ คือ ส่งเสริมกระบวนการนอกศาล (Out-of-Court Workouts) เช่น ตีโอนทรัพย์จบหนี้ โดยทางการสามารถช่วยสนับสนุนผ่านการลดค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องได้ อาทิ ค่าธรรมเนียมการโอนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งปลูกสร้างและที่ดิน เป็นต้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ศก.ยังไม่ฟื้น ดันสินเชื่อแบงก์พาณิชย์ปี 67 “หดตัว” 0.4%
วิจัยกรุงศรีปรับลด GDP เหลือ 2.4% คาด ธปท. คงดอกเบี้ย
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ลดดอกเงินกู้ 0.25% คาด เม็ดเงินกว่า 5,000 ล้านกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.pptvhd36.com