เรื่องของคนขี้แพ้
เห็นใจ “ภูมิธรรม” ครับ
แต่ก็เห็นใจประชาชนที่วิจารณ์ “ภูมิธรรม” เพราะประชาชนคาดหวังกับรัฐบาล แต่รัฐบาลไม่สามารถตอบสนองให้ทันท่วงทีได้
ฉะนั้นการเป็นบุคคลสาธารณะ โดยเฉพาะเป็นรัฐมนตรี อยู่ในที่สว่าง เป็นความหวังของประชาชน จึงต้องอดทนกับเสียงก่นด่าให้ได้
ถ้าไม่เลยเถิดเอาเรื่องส่วนตัวมาปั้นน้ำเป็นตัว ด่ากันเรื่องงาน ก็ไม่ควรฟ้องร้องครับ
คุณสมบัติของนักการเมืองที่ดี ต้องฟังเสียงของประชาชน ไม่ว่าเสียงเชียร์หรือเสียงด่า ต้องฟังและทำความเข้าใจ อย่าให้โมหะมาครอบงำจิตใจ จนเกิดความมืดมิดทางปัญญา
วานนี้ (๑๓ สิงหาคม) “ภูมิธรรม” พูดหลายเรื่องครับ แต่ละเรื่องราดน้ำมันเข้ากองเพลิงทั้งนั้น
นายกฯ รักษาการยังนิ่งไม่พอ!
“…อยากขอความกรุณาและกราบเรียนพี่น้องประชาชนช่วยกันในการแก้ปัญหา ผมเองก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมเหมือนกัน แต่ว่าอยู่ในฐานะหน้าที่เราพยายามจะนิ่งให้ได้มากที่สุด
การที่บอกว่าไปเข้าข้างเขมร บอกว่าระเบิดที่ลงที่โรงพยาบาล ไม่ใช่อย่างโน้นอย่างนี้ ไม่จริงนะครับ และถ้าไปดูเทปทั้งหมดเขาถามว่าจะชี้แจงอย่างไรหรือไม่ ทำไมระเบิดถึงลงเฉพาะที่นี่ ก็บอกว่าเขาไม่ได้ยิงเฉพาะเจาะจงเป้าหมาย หากยิงเฉพาะเจาะจงเป้าหมายจะไม่มีการเสียชีวิตของพลเรือนเลย
เป็นการยิงด้วยระเบิด BM-21 ที่ออกมาทีจำนวนมากกระจัดกระจายไม่ได้ไปที่เป้าหมายทางทหาร นั่นหมายความว่าพลเรือนและโรงพยาบาล คิดว่าอย่าเอาไปบิดเบือน ทำลายรัฐบาล ไว้วางใจสร้างความไม่ไว้วางใจรัฐบาล ทำให้ประชาชนในประเทศเกิดความแตกแยก
มีนักวิจารณ์การเมืองบางคนไปพูดว่าให้ตัดขาผม จะได้รู้ว่าหัวอกเป็นอย่างไร ทั้งหมดนี้ผมจะฟ้องหมด
ผมนี่เป็นคนที่ไม่คิดจะฟ้องใคร แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้ต้องทำให้ประจักษ์อย่างที่ผมเคยทำในอดีต ผมเคยถูกโจมตี จนกระทั่งสนธิแพ้ผมในชั้นศาลฎีกา อันนี้เคยมาแล้วขอโทษมาแล้ว
เรื่องนี้เหมือนกันอย่าพูดอะไรพล่อยๆ อย่าพูดอะไรทำให้เกิดความแตกแยก อย่าพูดอะไรที่ทำร้ายคนอื่น อยากให้สื่อช่วยด้วยในสิ่งที่ผมพูดไป ไม่อย่างนั้นผมจะพูดในสิ่งที่ควรจะพูดเท่านั้น จะไม่พูดอะไรที่มากไปกว่านี้แล้ว เพราะพูดไปแล้ว มีการไปทำร้ายกัน เอาไปบิดเบือนกัน ตัดตอนบางส่วนที่พูด แล้วก็ไม่มีใครช่วยเหลือ
ผมคิดว่าต้องทำให้เป็นธรรม ไม่อย่างนั้นก็ไม่เหมาะสม อันนี้เป็นสิ่งที่อยู่ในใจผม กำลังจะให้ทนายผมดำเนินการฟ้องทั้งหมด ที่บิดเบือนจากข้อเท็จจริง ซึ่งข้อมูลและสิ่งที่ผมให้สัมภาษณ์ทั้งหมดเก็บไว้หมดแล้ว”
ไม่ใช่เรื่องอะไรหนักหนาครับ
เรื่องตัดขา ชาวบ้านเขาเดือดร้อนแทนทหาร เขาเลยประชดประชันว่า ลองเป็น “ภูมิธรรม” บ้างมั้ย จะรู้สึกอย่างไร
มีนะครับคนที่นั่งในห้องแอร์เพลินจนไม่รับรู้ว่า ทหารที่อยู่แนวหน้านั้นลำบากแค่ไหน
ทหารทุกนายมีโอกาส เจ็บ พิการ ตาย กันทั้งนั้น
ลองคิดในมุมกลับบ้าง ทำไมประชาชนถึงคิดและเชื่อแบบนั้น
เรื่องไทย-เขมร ไม่ใช่จู่ๆ “สมเด็จวุ้นเส้น” จะเอาทหารมายิงคนไทย มันบ่มเพาะความไม่พอใจระหว่างตระกูลการเมืองที่คุมอำนาจของทั้ง ๒ ประเทศ
ประชาชนยังข้องใจไม่หายว่า ในเมื่อ “ทักษิณ” สนิทกับ “สมเด็จวุ้นเส้น” แล้วทำไมเขมรหันปลายกระบอกปืนมายังไทย
ยิ่งมาเจอคลิปสนทนาระหว่าง “อังเคิลวุ้นเส้น” กับหลาน “อิ๊งค์” ผู้คนก็คิดเลยเถิดไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างตระกูล “ชิน” กับตระกูล “ฮุน”
วันแรกๆ ที่มีปัญหากับเขมร โดยเฉพาะเรื่องคลิป รัฐมนตรีไทยล่องหนกันหมด หาคนมาให้คำตอบไม่ได้
ชาวบ้านเขาถึงวิจารณ์กันว่า สงสัยต้องรอดูท่าทีจาก “นายใหญ่” ก่อน ถ้า “นายใหญ่” ยังไม่ออก ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร
“ภูมิธรรม” ต้องเข้าใจเรื่องพวกนี้ด้วย แต่หากยืนกรานจะฟ้องประชาชน เพราะเคยชนะคดี “สนธิ” มาแล้ว ก็หมดคำพูดครับ
เอาที่สบายใจ!
เพราะความไม่เข้าใจในงานที่ต้องทำ รัฐบาลจึงผิดพลาดซ้ำซาก
กรณีลวดหนามหีบเพลงก็เช่นกัน
“…อยากเรียนทำความเข้าใจกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด จริงๆ ในกระบวนการหากคิดว่าไม่พอ สามารถแจ้งมาที่กองทัพหรือผู้บัญชาการทหารบกได้ และสิ่งเหล่านี้สามารถที่จะจัดได้ เพราะเป็นเรื่องที่พูดอยู่ตลอดเวลากับแม่ทัพทั้ง ๓ เหล่าทัพ ว่าอะไรที่ขาดหรือจำเป็นให้รีบทำเรื่องเสนอขึ้นมา รัฐบาลจะให้งบกลางช่วยเต็มที่
ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมีเรื่องนี้เสนอมา ส่วนใหญ่เสนอมายังคณะรัฐมนตรี ซึ่งเรื่องเหล่านี้หากเสนอขึ้นมาอนุมัติหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงบประมาณกำลังพลทั้งหมด
จริงๆ ยังไม่จำเป็นไปถึงขนาดขึ้นเพจเฟซบุ๊กขอให้ประชาชนมาช่วย คิดว่าจะทำให้เกิดความไม่เข้าใจ รัฐบาลไม่มีอะไรขัดขวาง
อยากจะเรียนให้แม่ทัพภาคที่ ๒ ได้ทราบ เพราะว่าถ้าขาดจริงๆ บอกมา เรามีงบประมาณให้อยู่แล้ว…”
ก็ถูกครับตามระบบระเบียบ กองทัพอยากได้อะไรก็ขอรัฐบาลได้ รัฐบาลมีงบประมาณให้อยู่แล้ว
แต่…มันมีอะไรที่ซับซ้อนกว่าสิ่งที่ “ภูมิธรรม” พูดครับ
ที่จริง “ภูมิธรรม” ไม่ควรพูดออกสื่อ
ควรถามไปยังกองทัพภาคที่ ๒ โดยตรงว่า ขาดเหลืออะไร รัฐบาลจะจัดให้
แต่เมื่อพูดออกสื่อแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเจตนาอะไรก็ตาม ภาพความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับรัฐบาล มันถูกตอกย้ำด้วยคำพูดของ “ภูมิธรรม” เอง
ว่าไม่เป็นเนื้อเดียวกัน
ฝั่งกองทัพเขาชี้แจงมาก็มีเหตุผลนะครับ ว่าทำไมต้องขอบริจาคลวดหนามหีบเพลงจากประชาชน
“…การจัดซื้อต้องเป็นไปตามระเบียบราชการ แต่วิธีจัดหาใช้แบบพิเศษได้ แต่ใช้เวลาเป็นเดือน ที่สำคัญกรณีลวดหนามหีบเพลง สเปกที่ทหารใช้ไม่มีในท้องตลาด ต้องสั่งผลิตจึงใช้เวลานานขึ้นไปอีก ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องของงบประมาณ งบประมาณมีอย่างเพียงพอ มีแค่เรื่องเวลา…”เป็นคำแถลงของ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ก็มีเหตุมีผลที่ต้องพิจารณา
การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าบริเวณแนวชายแดน ณ ขณะนี้ ว่ากันเป็นรายนาที รายชั่วโมง
กองทัพปรับเปลี่ยนการทำงานตามสภาพหน้างาน แต่รัฐบาลตามไม่ทัน ภาพมันจึงปรากฏออกมาเช่นนี้ ไม่แปลกหรอกครับที่รัฐบาลจะถูกวิจารณ์อย่างหนัก
เรื่องนี้พรรคส้มก็อยู่ในวังวนพวกนั่งห้องแอร์วิจารณ์ทหารที่อยู่แนวหน้าเช่นกัน
กอดระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างทางราชการเหมือนรัฐบาล แล้วโจมตีกองทัพภาคที่ ๒ ว่าไม่เหมาะสม ลดทอนภาพลักษณ์กองทัพและประเทศ
แต่ก็ไม่ชี้ทางออกว่าหากต้องการรั้วลวดหนามหีบเพลงตอนนี้เดี๋ยวนี้ต้องทำอย่างไร
ก็รู้ๆ กันอยู่นะครับว่าทำไมต้องล้อมรั้วทันที มีแต่รัฐบาลกับพรรคส้มนี่แหละที่ไม่รู้
ขนาดกองทัพอเมริกาเกรียงไกรแค่ไหน ชาวอเมริกันยังต้องบริจาคเงินให้ เขาทำกันหลายช่องทาง เช่น การบริจาคผ่านองค์กรการกุศลที่สนับสนุนทหาร หรือการบริจาคโดยตรงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการทหาร
ถ้าเข้าใจได้ว่า เราอยู่ในภาวะสงคราม รัฐบาลกับพรรคส้มคงไม่คิดแบบนี้
คิดว่าเล่นหมากเก็บกันอยู่หรือไร.