โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

ห่วงรัฐบาลปริ่มน้ำฉุดฟื้นเศรษฐกิจ อิ๊งค์ดันซอฟต์พาวเวอร์ พาณิชย์ลุยค้าต่างประเทศ

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

รัฐมนตรีชุดใหม่เริ่มทำงานทันทีหลังถวายสัตย์ฯ “อิ๊งค์” ไม่ท้อแม้ต้องหยุดทำหน้าที่นายกฯ แต่ขอลุย วธ.เต็มที่ดันซอฟต์พาวเวอร์ไทยตามรอยเกาหลีใต้ “ภูมิธรรม” มท.1 คนใหม่ขีดเส้นปราบยาเสพติดภายใน 3 เดือน ขณะที่ รมว.พาณิชย์ ให้น้ำหนักแก้สินค้าเกษตรราคาตก “ฉันทวิชญ์” รมช.พาณิชย์คนใหม่ เปิด 3 ภารกิจเจรจาการค้ากับต่างประเทศ ด้านเอกชนประสานเสียงกังวลเสถียรภาพรัฐบาล เพราะเสียงปริ่มน้ำเหลือเกิน จนต้องเล็งถอนร่าง พ.ร.บ.คอมเพล็กซ์ ออกไปก่อน ส่วนสถานการณ์การเมืองไทยรอศาล รธน.ชี้ชะตานายกฯ คดีคลิปเสียง ภายใน 45-60 วัน พร้อมเผยชื่อแคนดิเดต หากผลตัดสินให้ “แพทองธาร” พ้นจากตำแหน่ง

อิ๊งค์ร่วมดันซอฟต์พาวเวอร์

ความคืบหน้าสถานการณ์การเมือง และการเริ่มทำงานของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ที่กระทรวงวัฒนธรรม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.วัฒนธรรม กล่าวภายหลังเดินทางเข้ากระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ว่า แม้ตอนนี้แย่หน่อยที่ต้องหยุดทำหน้าที่นายกฯ แต่ได้มาทำงานในส่วนของรัฐมนตรีว่าการ วธ. ครั้งนี้เป็นรัฐมนตรีครั้งแรกก็ต้องฝากเนื้อฝากตัวด้วย

อยากทำ วธ.ให้เติบโตและยิ่งใหญ่เหมือนกับเกาหลีใต้ ที่มี วธ. เป็นกระทรวงหลักในการสร้างรายได้ให้ประชาชนตามนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ที่เคยพูดต่อประชาชนไปแล้วว่า วธ.จะเป็นคีย์หลักในการขับเคลื่อนอาชีพใหม่ ๆ หรือโอกาสใหม่ ๆ ให้กับพี่น้องคนไทย

ภูมิธรรมขีดเส้นแก้ยาเสพติด

ที่กระทรวงมหาดไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ให้นโยบายกับหัวหน้าส่วนราชการกระทรวง ผู้ว่าราชการจังหวัดว่า กระทรวงมหาดไทยต้องดีขึ้นกว่าเดิม และสิ่งที่สำคัญในการวัดประเมินผลไม่ต้องการตัวเลขอย่างเดียว แต่สิ่งที่อยากเห็นคือผลงานที่เป็นรูปธรรม เพราะตั้งแต่เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง การแก้ปัญหายาเสพติดก็เห็นตัวเลขมาเยอะ

ดังนั้นจึงบอกไปว่าประชาชนเขารู้หมด แต่ทำไมผู้ว่าฯ ตำรวจจึงไม่รู้ จึงให้นโยบายยาเสพติดเป็นเรื่องใหญ่ และต้องร่วมมือกัน และงานบริการที่กระทรวงมหาดไทยมีต้องเร็ว มีผลงานที่ประชาชนรับรู้ได้อย่างเป็นรูปธรรม

3 เดือนต้องเห็นผลงาน

“อยากจะเห็นภายใน 3 เดือนนี้มีรูปธรรมที่จับต้องได้ ถ้าไม่อย่างนั้นจะขออนุญาต ก่อนถึงเดือนกันยายน ผมจะขอปรับกำลังใหม่ เพื่อจะได้ให้คนที่เหมาะกับงาน สามารถตอบสนองการแก้ไขปัญหาได้ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการทุกระดับ ถ้าอยากจะเห็นอะไรดีขึ้นและคิดว่าเป็นปัญหาให้มาบอก ประตูห้องผมเปิดตลอดเวลา” นายภูมิธรรมกล่าว

พาณิชย์แก้สินค้าราคาตก

ส่วนนายจตุพร บุรุษพัฒน์ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า งานที่จะเดินหน้าเป็นการเร่งด่วน คือช่วยเหลือประชาชนและเกษตรกร โดยเฉพาะจากสถานการณ์ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ซึ่งจะพูดคุยหารือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อให้แก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ โดยกระทรวงพาณิชย์พร้อมที่จะช่วยระบายสินค้า และทำงานอย่างบูรณาการ ไม่มีพรมแดนการทำงานระหว่างกระทรวง

ส่วนการเจรจาภาษีกับสหรัฐ ตอนนี้ต้องรอผลการเจรจาชุดนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ที่เดินทางไปเจรจาที่สหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ดี กระทรวงจะให้ความสำคัญกับปัญหาเรื่องการสวมสิทธิ โดยอ้างสินค้าไทยไปสหรัฐ ซึ่งจะมี นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นคนดูแล ส่วนเรื่องการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) เป็นอีกหนึ่งความท้าทาย พร้อมทำอย่างเต็มที่ ไม่ต้องเป็นห่วง

“ฉันทวิชญ์” พร้อมดูค้า ตปท.

นายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า หารือเบื้องต้นเกี่ยวกับการแบ่งงานภายในกระทรวง โดยจะรอการลงนามมอบหมายงานอย่างเป็นทางการจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในสัปดาห์หน้า อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นได้รับมอบหมายให้ดูแลงานด้านต่างประเทศเป็นหลัก

“ภารกิจด้านต่างประเทศถือเป็นเรื่องที่ท้าทายและมีข้อจำกัดด้านเวลา โดยเฉพาะในประเด็นความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐอเมริกา ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องใหญ่ แต่พร้อมที่จะเดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ การเจรจาที่ผ่านมามีความคืบหน้าไปมาก ทั้งกระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ต่างมีแผนที่ชัดเจน มั่นใจว่าเราจะเจรจาเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของประเทศ”

เผย 3 ภารกิจเร่งด่วน-ทำทันที

รมช.พาณิชย์ยังระบุถึง 3 ภารกิจเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการทันที ได้แก่ 1.การเจรจาการค้า ทั้งในระยะสั้น เช่น การขอลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ เพื่อให้ภาคธุรกิจและประชาชนไทยได้รับประโยชน์สูงสุด รวมถึงการเจรจาในระยะกลาง เช่น ความตกลง FTA กับสหภาพยุโรปและเกาหลีใต้ ซึ่งมีความคืบหน้าอย่างมาก 2.การวางรากฐานให้ธุรกิจไทยแข่งขันได้ โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ และ 3.ดูแลราคาสินค้าเกษตร โดยให้ความสำคัญกับเสถียรภาพด้านราคา และการสร้างความมั่นคงให้แก่เกษตรกร

นักเศรษฐศาสตร์ห่วงเสียงรัฐ

ส่วนความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ และภาคเอกชน ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวว่า ประเด็นปัญหาที่จะมีผลกับการบริหารนโยบายเศรษฐกิจ ขณะนี้คือเรื่องเอกภาพกับเสถียรภาพของรัฐบาล โดยเห็นชัดขึ้นว่าจะมีเรื่องขอบเขตของแต่ละพรรคการเมืองมากขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการขับเคลื่อนนโยบายในภาพรวมได้

“เรื่องรัฐมนตรีเศรษฐกิจที่มาใหม่ ผมมองว่าตอนนี้เรื่องสำคัญคือเอกภาพกับเสถียรภาพของรัฐบาล ที่จะมีขอบเขตของแต่ละพรรคมากขึ้น อย่างเรื่องการเจรจากับสหรัฐ ถ้าแต่ละพรรคอยู่คนละฝั่ง จะคุยกันรู้เรื่องหรือเปล่า ก็ยังไม่แน่ใจ อย่างการเจรจาการค้า จริง ๆ แล้วกระทรวงพาณิชย์ก็ต้องเป็นตัวหลัก ซึ่งก็มีประเด็นเรื่องสินค้าเกษตร ที่เกี่ยวกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วย ก็ต้องดูว่าคุยกันได้หรือไม่”

เอกชนกัดฟันพึ่งตัวเองไปก่อน

นางสาวฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย กล่าวว่า ภายหลังการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ที่ชัดเจนแล้ว ความหวังในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและกระตุ้นการลงทุนและการใช้จ่ายของภาคธุรกิจและผู้บริโภคยังคงเป็นคำถามใหญ่ โดยเฉพาะจากมุมมองของผู้ประกอบการ ตัวแทนภาคธุรกิจ

ภาคเอกชนยังคงไม่ได้เห็นสัญญาณบวกที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น และยังคงต้องพึ่งพาตนเองเป็นหลักในการรับมือกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจปัจจุบัน ช่วงนี้ทุกคนต้องพึ่งพาตัวเองให้มากที่สุด ส่วนสมาคมภัตตาคารไทยพยายามช่วยผู้ประกอบการ เช่น สนับสนุนเรื่องการใช้โซเชียลมีเดีย, การทำสื่อ, การทำ Digital Marketing ซึ่งอาจจะช่วยได้ระดับหนึ่ง

กังวลรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ

ส่วนความเคลื่อนไหวด้านการเมืองที่สำคัญ ในช่วงการปรับ ครม.ใหม่ ที่น่าจับตาคือเสถียรภาพของรัฐบาลแพทองธาร ภายหลังเดินเกมยึดกระทรวงมหาดไทย คืนจากพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ เป็นผลให้พรรคภูมิใจไทยที่มีอยู่ 69 เสียง ใช้เงื่อนไขคลิปสนทนาถอนตัวไปเป็นฝ่ายค้านทันที

ทำให้เสียง สส.ในสภาอย่างเป็นทางการของฝ่ายรัฐบาลเหลือเพียง 261 เสียง จากเสียงการลงมติต่าง ๆ ในสภาจะต้องใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมด 495 คน กึ่งหนึ่งจึงเท่ากับ 248 เสียง ส่งผลกระทบต่อนโยบายเรือธงของรัฐบาลที่จะต้องขับเคลื่อนด้วยการออกกฎหมาย

เล็งถอนร่าง พ.ร.บ.คอมเพล็กซ์

เช่น นโยบายสถานบันเทิงครบวงจร ถูกแรงต้านจากทุกสารทิศ ทั้งในสภา ซึ่ง 5 พรรคฝ่ายค้านยืนยันว่าไม่สนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าว รวมถึงกลุ่มผู้ชุมนุมหลายกลุ่มก็คัดค้านนโยบายนี้ ท่าทีของฝ่ายรัฐบาลจึงเตรียมถอนร่าง

นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เบื้องต้นคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) มีการหารืออย่างไม่เป็นทางการ โดยจะมีการถอนร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถานบันเทิงครบวงจร หรือ กฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ออกไปก่อน เพราะเท่าที่รับฟังความเห็นมาประชาชนยังไม่เข้าใจ ซึ่งวิปรัฐบาล จะหารือในวันที่ 7 ก.ค.นี้

นายกฯอิ๊งค์ ลุ้น 45 วัน

ส่วนกรณีที่ประชุมคณะตุลาการศาลธรรมนูญ มีมติรับคำร้องไว้วินิจฉัยในคดีคลิปเสียง และพักการปฏิบัติหน้าที่ของนายกฯ ขั้นตอนหลังจากนี้ น.ส.แพทองธาร ต้องยื่นคำชี้แจงในกรอบ 15 วัน ซึ่งตรงกับช่วง 16 กรกฎาคม จากนั้นองค์คณะตุลาการจะนัดประชุมเพื่อพิจารณาคำชี้แจง พร้อมกับดูว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย หรือมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิจารณาวินิจฉัยได้หรือไม่ โดยต้องดูว่า ผู้ถูกร้อง คือ น.ส.แพทองธาร ยื่นพยานเอกสาร หรือพยานบุคคล เพิ่มเติมหรือไม่ ถ้าหากศาลพิจารณาแล้วเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้ ก็จะนัดทำคำวินิจฉัย โดยกรอบการพิจารณาอยู่ประมาณ 45-60 วัน

จับตาฉากเปลี่ยนนายกฯ

สถานการณ์เลวร้ายที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ น.ส.แพทองธาร พ้นจากตำแหน่ง สภาพการเมืองก็จะไหลไปสู่การเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 159 ประกอบกับมาตรา 88 โดยเลือกนายกฯ จากบัญชีพรรคการเมืองที่แจ้งไว้ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งในบัญชีพรรคเพื่อไทย ยังเหลือแคนดิเดตนายกฯอีก 1 คน คือ นายชัยเกษม นิติสิริ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) 2 คน คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) 1 คน คือ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ และพรรคภูมิใจไทย 1 คน คือ อนุทิน ชาญวีรกูล

ขณะที่พรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านได้ประกาศว่า ยินดีที่จะยกเสียง 142 เสียงในสภา ให้กับแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคการเมือง เพื่อทำหน้าที่นายกฯชั่วคราว บนเงื่อนไขจะต้องมีการทำประชามติเปิดทางให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เพื่อนำไปสู่การมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และเลือกตั้งใหม่ ดังนั้น เมื่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทยปัจจุบันเสียงในสภาอยู่ในสภาพ “ปริ่มน้ำ” สูตรการต่อรองนายกฯจึงเข้มข้น

ลุยรถไฟฟ้า 20 บาท-บ้านเพื่อคนไทย

แม้ว่าการเมืองขณะนี้ไม่แน่นอน แต่รัฐบาลที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ พยายามเข็นนโยบายให้เป็นจุดขายเรียกเรตติ้งกลับขึ้นมาอีกครั้ง กระทรวงคมนาคม ผลักดันนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ซึ่งความคืบหน้านโยบายใกล้เสร็จสมบูรณ์แล้ว โดยปัจจุบันนี้สายสีม่วง และสีแดงเริ่มใช้สิทธิ 20 บาท ส่วนสายอื่นจะใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2568 หรือตามมติ ครม. ครอบคลุมทั้งโครงข่ายรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ประกอบไปด้วย รถไฟฟ้าสายสีเขียว, สีทอง, สีเหลือง, สีชมพู, สีน้ำเงิน, สายสีม่วง, สายสีแดง และสายแอร์พอร์ต เรลลิงก์ (ARL)

ขณะที่การชดเชยรายได้ให้เอกชนผู้ประกอบการ ในการดำเนินการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้น คาดการณ์ว่าจะต้องใช้งบประมาณปีละ 8,000 ล้านบาท โดยจะนำเงินรายได้จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หรือกองทุนการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่ในปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 16,000 ล้านบาท ชดเชยรายได้ผ่านกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม เป็นไปตามร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. … ซึ่งผ่านการพิจารณาชั้นรับหลักการของสภาผู้แทนราษฎร โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย

ขณะที่นโยบายบ้านเพื่อคนไทย ซึ่งเปิดตัวเป็นทางการเมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา โครงการในระยะแรกมีแผนนำร่องในพื้นที่ศักยภาพ 4 แห่ง ได้แก่ 1.พื้นที่โครงการบางซื่อ กม.11 (วิภาวดี) 2.พื้นที่ในจังหวัดเชียงใหม่ 3.พื้นที่โครงการเชียงราก (ปทุมธานี) 4.พื้นที่ธนบุรี

ทั้งนี้ มีผู้ลงทะเบียนจองสิทธิทางออนไลน์ ร่วมโครงการมากกว่า 260,000 คน และในจำนวนนี้มีผู้ผ่านการพิจารณาเบื้องต้นจากธนาคารอาคารสงเคราะห์แล้วกว่า 136,699 คน ขณะเดียวกัน กระทรวงคมนาคมศึกษาความเป็นไปได้ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งขณะนี้ผลการศึกษาใกล้เสร็จแล้ว ก่อนจะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

คลังเร่งหวยเกษียณ

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สำหรับสลากสะสมทรัพย์เพื่อเงินออมยามเกษียณ หรือ “สลาก กอช.” (หวยเกษียณ) รัฐบาลจัดสรรงบประมาณ 780 ล้านบาทต่อปี เป็นเงินรางวัล คาดว่าจะกระตุ้นให้เกิดการออมของประชาชนในระบบมากกว่า 13,000 ล้านบาทต่อปี ไม่ได้เพียงเพิ่มการออม แต่กำลังเปลี่ยนวัฒนธรรมทางเศรษฐกิจ

หวยเกษียณถือเป็นก้าวสำคัญของภาครัฐในการสร้างระบบการออมที่ยั่งยืน เพื่อรองรับความท้าทายของสังคมผู้สูงวัยที่กำลังจะมาถึง และสร้างหลักประกันทางการเงินให้กับประชาชนในระยะยาว ปัจจุบันกฎหมายจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ในวาระที่ 2-3 กลางเดือนกรกฎาคมนี้

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ห่วงรัฐบาลปริ่มน้ำฉุดฟื้นเศรษฐกิจ อิ๊งค์ดันซอฟต์พาวเวอร์ พาณิชย์ลุยค้าต่างประเทศ

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ประชาชาติธุรกิจ

เงินบาทแข็งโป๊กรอบ 9 เดือน จับตาสัปดาห์หน้า 5 ปัจจัยสำคัญ-ทองโลก

27 นาทีที่แล้ว

โตโยต้า ออโต้ เวิคส ผลิต Commuter ‘แสนคัน’

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เผ่าภูมิ ชี้สัญญาณบวก ผลผลิตอุตฯพ.ค.โต 1.9% EV ทะยาน 641%

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

นายกฯเฉพาะกิจ ภารกิจในตำนาน เจรจาสงครามโลก-เปลี่ยนผ่านเลือกตั้ง

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความการเมืองอื่น ๆ

ข่าวและบทความยอดนิยม

ห่วงรัฐบาลปริ่มน้ำฉุดฟื้นเศรษฐกิจ อิ๊งค์ดันซอฟต์พาวเวอร์ พาณิชย์ลุยค้าต่างประเทศ

ประชาชาติธุรกิจ

ฟอร์ดชี้พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน ยอด xEV พุ่งเล็ง ‘เซ็กเมนต์’ ใหม่เสิร์ฟลูกค้า

ประชาชาติธุรกิจ

‘เที่ยวไทยคนละครึ่ง’ อลหม่าน ปัญหารอบทิศ-สั่งปิดระบบชั่วคราว

ประชาชาติธุรกิจ
ดูเพิ่ม