TU ผนึกมิตซูบิชิ เสริมแกร่งระดับโลก พร้อมจ่ายปันผล 0.35 บ./หุ้น หลัง Q2 กำไรโต 13%
TU รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/2568 ด้วยยอดขายรวมกว่า 33,389 ล้านบาท และกำไรสุทธิปรับปรุงเพิ่มขึ้น 13.2% จากปีก่อน จากแรงหนุนของอัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 19.7% และการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บอร์ดอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.35 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการจ่าย 59% ขณะเดียวกัน TU ยังเดินเกมเชิงกลยุทธ์ครั้งใหญ่ด้วยการจับมือ “มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น” เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของซัพพลายเชนและขยายการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดโลก
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ประกาศผลประกอบการไตรมาสสองด้วยยอดขายรวมกว่า 33,389 ล้านบาท กำไรสุทธิปรับปรุงอยู่ที่ 1,506 ล้านบาท (ไม่รวม transformation costs) เพิ่มขึ้น 13.2 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อน สะท้อนความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจและการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับแรงหนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงเป็นประวัติการณ์ และการบริหารต้นทุนอย่างมีวินัย ดันกำไรสุทธิต่อหุ้นเติบโต 18 เปอร์เซนต์
โดยบริษัทฯ ได้อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ในอัตรา 0.35 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลที่ 59 เปอร์เซ็นต์
ทั้งนี้ การที่บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 19.7 เปอร์เซ็นต์ ในไตรมาส 2 นั้นได้ปัจจัยสนับสนุนจากการบริหารพอร์ตผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ และต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง ในขณะที่กำไร สุทธิอยู่ที่ 1,273 ล้านบาท
สำหรับครึ่งแรกของปี 2568 กำไรสุทธิตามที่ปรับปรุงเพิ่มขึ้น 11.2 เปอร์เซ็นต์ อยู่ที่ 2,823 ล้านบาท และกำไรสุทธิตามที่ประกาศอยู่ที่ 2,292 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในครึ่งปีแรกอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 19.3 เปอร์เซ็นต์
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสภาวะเศรษฐกิจโลก และการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โปรเจกต์ทรานส์ฟอร์มเมชั่นของเรากำลังแสดงผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม เราได้ปรับเปลี่ยนองค์กรให้มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การมุ่งเน้นเสริมศักยภาพให้กับธุรกิจหลักของเรา ช่วยสร้างการเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้นได้อย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับอนาคตที่คาดเดาได้ยาก”
แม้สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษี 19% TU มั่นใจซัพพลายเชนทั่วโลกหนุนแข่งขันได้
ส่วนกรณีที่รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยในอัตรา 19 เปอร์เซ็นต์ สำหรับสินค้าที่จัดส่งหลังวันที่ 7 สิงหาคม บริษัทได้เตรียมมาตรการรับมือภาษีดังกล่าว โดยมุ่งใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการผลิตที่กระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งครอบคลุมฐานการผลิตใน 14 ประเทศ รวมทั้งสหรัฐอเมริกา เพื่อยกระดับประสิทธิภาพของห่วงโซ่การผลิต และลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการทางภาษี ซึ่งโรงงานของไทยยูเนี่ยนในประเทศไทย กานา และเซเชลส์ นั้นได้รับอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯ 19, 15 และ 10 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ทำให้มีความ สามารถในการแข่งขันที่ทัดเทียมหรือเหนือกว่าผู้ส่งออกรายใหญ่อื่น ๆ เช่น อินโดนีเซีย (19 เปอร์เซ็นต์) และ เวียดนาม (20 เปอร์เซ็นต์)
ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 บริษัทฯ ยังได้ดำเนินโครงการซื้อหุ้นคืนเป็นครั้งที่ 4 เสร็จสมบูรณ์ โดยซื้อคืนหุ้นคิดเป็น 8.98 เปอร์เซ็นต์ของทุนชำระแล้ว สะท้อนเจตนารมณ์ของบริษัทในการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว
นอกจากนี้ สองผู้นำอุตสาหกรรมอาหารระดับโลก TU และ มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ได้มีการเข้าลงนามในสัญญาความร่วมมือทางธุรกิจ ซึ่งเป็นการต่อยอดความร่วมมือที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2534 เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรม ความยั่งยืน และความเป็นเลิศในระดับโลก ภายใต้สัญญาความร่วมมือดังกล่าว มิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่นจะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน TU จาก 6.19 เปอร์เซ็นต์ เป็น 20 เปอร์เซ็นต์ (ไม่นับรวมหุ้นซื้อคืน) ผ่านการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั่วไป
นายธีรพงศ์ กล่าวว่า “การจับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระหว่างไทยยูเนี่ยนและมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ตั้งอยู่บนรากฐานของความไว้วางใจที่สั่งสมมายาวนานหลายทศวรรษ สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางธุรกิจและวิสัยทัศน์ร่วมกันของทั้งสองบริษัท ในการขับเคลื่อนอนาคตของอุตสาหกรรมอาหารทะเลของโลก เราจะร่วมกันเร่งสร้างการเติบโต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพและยั่งยืนให้แก่ผู้บริโภคทั่วโลก เราเชื่อว่าความร่วมมือครั้งนี้จะสามารถสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย และตอกย้ำสถานะของไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมอาหารทะเล”
ทั้งนี้ การจับมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของไทยยูเนี่ยน โดยมิตซูบิชิยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่สี่ มีตัวแทนนั่งในคณะกรรมการบริษัทตามเดิม และไม่มีผลต่อโครงสร้างทีมผู้บริหารระดับสูงของไทยยูเนี่ยน