‘พริษฐ์’ ชี้ งบฯ 69 แต่ละกระทรวงตั้งไว้สูงเกินจริง เพราะแยกกันทำ-แย่งกันทำ-ย้ายออกไปทำ
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานในที่ประชุม ในวาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 วาระ 2 โดยเริ่มต้นที่มาตรา4 ภาพรวมงบประมาณ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.พรรคประชาชน อภิปรายว่า เสนอความเห็นขอมิให้มีการปรับลดงบประมาณเพิ่มอีก 50,000 ล้านบาทเหลือ 3,730,600 ล้านบาท ไม่ได้อยากปรับลดงบประมาณในช่วงที่ประเทศกำลังเผชิญวิกฤตแต่ หวังว่าวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้จะจบลงในเร็ววัน ไม่ได้ยืดเยื้อไปถึงปีงบประมาณ 2569 จากวิกฤตที่จะเกิดสงครามการค้าที่กำลังจะมาถึงทำให้การคลังของประเทศตกอยู่ในภาวะ 3 เสี่ยง เสี่ยงทั้งรายได้ ซึ่งจากสงครามการค้าที่กำลังจะเกิดขึ้นการจัดเก็บรายได้ในปี 2569 อาจจะมีการพลาดเป้าและลดลง ซึ่งมาจากการจัดเก็บภาษีที่ลดลง
ส่วนความเสี่ยงด้านรายจ่าย เมื่อเรากำลังเจอความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจเราจะต้องมีงบที่จะพยุงกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลไม่ได้มีการเตรียมการเอาไว้ และความเสี่ยงด้านสุดท้ายคือ หนี้สาธารณะ เรากำลังจะชนเพดานแล้ว ซึ่งเมื่อสิ้นงบประมาณปี 68 หนี้สาธารณะจะอยู่ที่ 66%ในขณะที่สิ้นปีงบประมาณ 69 หากกู้ตามที่ได้วางแผนไว้หนี้สาธารณะจะอยู่ที่ 69% เนื่องมาจาก GDP ของไทยที่กำลังถดถอย
ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่จะต้องประหยัดงบประมาณส่วนนี้ เพื่อนำไปสมทบในส่วนหน้า เพราะแน่นอนแล้วว่ามีการขยาย เพดานหนี้สาธารณะให้เกิน 70% ของ GDP และอาจจะต้องมีการออก พ.ร.บ.เงินกู้หรือ พ.ร.ก.เงินกู้เพื่อมาพยุงเศรษฐกิจในปี 2569 เพราะจากการปรับลดงบประมาณปี 2569 ปรับลดไปเพียง 8,921 ล้านบาท และถูกนำไปเกลี่ยให้กับงบประมาณที่ควรจะเป็นงบต้องขอมาตั้งแต่เริ่ม ไม่ว่าจะเป็นการใช้หนี้ให้กับรถไฟฟ้าจ่ายสีส้ม การจัดการประชุม, งบประมาณที่ใช้คืนหนี้ประกันสังคม
“การปรับลดในปี 2569 ไม่ได้รู้สึกรู้สาเลยว่า เรามีวิกฤตรออยู่แตกต่างจากปีอื่นๆ จึงเป็นเหตุผลว่าตนไม่ได้อยากปรับลดงบประมาณในช่วงเวลาที่กำลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ แต่จำเป็นที่จะต้องเก็บกระสุนถ้าการจัดงบประมาณในครั้งนี้ยังไม่ตอบโจทย์ช่วยให้ประเทศรอดพ้นจากสงครามการค้าได้เราก็จำเป็นที่จะต้องจะปรับลดงบประมาณในครั้งนี้เพื่อจัดเก็บพื้นที่ทางการคลังเอาไว้ใช้เมื่อเกิดวิกฤตจริง” น.ส.ศิริกัญญากล่าว
ด้าน นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวว่า ส่วนตัวเข้าใจดีว่า รัฐบาลจัดสรรงบประมาณ ปี 69 ก่อนจะเกิดวิกฤตภาษีตอบโต้ของสหรัฐ แต่การจัดลำดับความสำคัญของงบประมาณ ปี 69 ใหม่ เพื่อเตรียมรับมือปัญหาเศรษฐกิจที่จะตามมาของรัฐบาล สะท้อนถึงประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณอย่างตรงจุดและคุ้มค่า ซึ่งหากไปดูงบประมาณของกระทรวงต่าง ๆ จะเห็นงบประมาณบางส่วนที่สามารถปรับลดได้ เพื่อโยกไปแก้ปัญหาให้กับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นอาคารสำนักงานที่หรูหรามากเกินจำเป็น หรือการพัฒนาแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชัน ที่ไม่มีผู้ใช้งาน รวมถึงงบประมาณจัดอบรมสัมมนาที่ไม่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ตามวัตถุประสงค์
นายพริษฐ์ บอกอีกว่า งบประมาณของแต่ละกระทรวงที่ถูกตั้งไว้สูงเกินความจำเป็น มาจากปัญหาความซ้ำซ้อนในการจัดทำงบประมาณ 3 ด้าน คือ แยกกันทำ แย่งกันทำ และย้ายออกไปทำ ทั้งนี้ หากสามารถศึกษา และพิจารณาควบรวมหน่วยงานที่มีภารกิจซ้ำซ้อนกันอย่างจริงจัง จะทำให้โครงการและกิจกรรมของรัฐ มีความสะเปะสะปะน้อยลง ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนทรัพยากรมากขึ้น และทำให้หน่วยงานรัฐผลิตแผนขึ้นหิ้งน้อยลง แต่มีการทำงานในทิศทางเดียวกันมากขึ้น
นายพริษฐ์ ย้ำอีกว่า หากไม่ลดความซับซ้อนที่แทรกอยู่ในทุกระดับของระบบราชการ ประเทศของเราก็เสี่ยงที่จะไม่เหลืองบประมาณเพียงพอ สำหรับไปแก้ปัญหาสำคัญ ๆ ให้กับประชาชน รวมถึงไม่เหลืองบประมาณมากพอที่จะนำไปใช้บริหารให้เกิดคล่องตัวในการรับมือกับปัญหาวิกฤติปัญหาใหม่ ๆ ที่ถาถมเข้ามา.