พริษฐ์ แนะเพื่อไทย ควรยอมรับตรงๆ ต้นตอความล่าช้านโยบาย รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย มาจากความไม่รอบคอบของรัฐบาลเอง
วันนี้ (27 สิงหาคม) พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวแสดงความเห็นกรณีรัฐบาลประกาศเลื่อนการเริ่มนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย จากกำหนดการเดิม 1 ตุลาคม 2568ว่า สาเหตุสำคัญของความล่าช้าไม่ได้เกิดจากฝ่ายค้าน แต่เกิดจากความไม่รอบคอบและไม่หนักแน่นของรัฐบาลเองในการผลักดันนโยบายเรือธง
พริษฐ์ ระบุว่า พรรคประชาชนเห็นด้วยกับ หลักการ ที่ต้องการทำให้ระบบขนส่งสาธารณะสะดวก ครอบคลุม และมีค่าโดยสารที่ประชาชนเข้าถึงได้ แต่ยังมีข้อกังวลต่อ วิธีการ ที่รัฐบาลเลือกใช้ โดยเฉพาะการจัดหางบประมาณและมาตรการป้องกันการเอื้อประโยชน์ให้ผู้ประกอบการ
แม้ดนุพร ปุณณกันต์ โฆษกพรรคเพื่อไทยจะออกมาขอโทษประชาชน แต่กลับพยายามโยนความผิดไปที่การที่กฎหมาย 3 ฉบับ ได้แก่ พ.ร.บ.ราง, พ.ร.บ.ตั๋วร่วม และ พ.ร.บ.รฟม. ยังไม่ผ่านรัฐสภา ทั้งที่ความจริงรัฐบาลควรรู้ตั้งแต่ต้นว่าไม่สามารถทำให้กฎหมายผ่านทันกำหนดได้ แทนที่จะพยายามพาดพิงพรรคอื่น ผมเห็นว่าจะเป็นประโยชน์กว่า หากพรรคเพื่อไทยตอบคำถามดังต่อไปนี้ให้ชัดๆ เพื่อให้สังคมสิ้นข้อสงสัย
- เป็นแผนและความตั้งใจของรัฐบาลมาโดยตลอดเลยใช่หรือไม่ ว่ารัฐบาลจะเดินหน้านโยบายเรื่อง 20 บาทตลอดสาย ต่อเมื่อกฎหมาย 3 ฉบับ (พ.ร.บ. ราง / พ.ร.บ. ตั๋วร่วม / พ.ร.บ. รฟม.) ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาและประกาศบังคับใช้
ตนเองเข้าใจดีว่ากฎหมาย 3 ฉบับ มีความเชื่อมโยงกับนโยบาย 20 บาทตลอดสาย แต่การสื่อสารอย่างเป็นทางการของรัฐบาลที่ผ่านมา ไม่เคยชี้ชัด ว่ากฎหมาย 3 ฉบับ นี้ เป็นเพียงตัวช่วยของรัฐบาลในการผลักดันนโยบาย หรือเป็นเงื่อนไขตั้งต้นที่ต้องเสร็จก่อนถึงจะเริ่มดำเนินโยบายได้
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 ที่ ครม. มีมติให้เริ่มคิดอัตราค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568 ทางรัฐบาลเองก็ไม่ได้มีการพูดถึงเงื่อนไขว่ารัฐสภาจะต้องผ่านกฎหมาย 3 ฉบับนี้ ถึงจะเริ่มอัตราค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายได้
ยิ่งไปกว่านั้น การเตรียมการที่ผ่านมาสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลัง 1 ตุลาคม 2568 ก็ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่บนสมมุติฐานว่าจะเริ่มมีการใช้ระบบตั๋วร่วม โดยเหลือบัตรใบเดียว และการคำนวณแบบค่าโดยสารร่วมจริงๆ ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ค้างอยู่ในสภา
ตนเองจึงอดสงสัยไม่ได้ ว่ารัฐบาลตั้งใจจะรอให้กฎหมายผ่านก่อนจริงๆตั้งแต่แรกจริงๆ หรือว่าในแผนดั้งเดิม รัฐบาลตั้งใจจะดำเนินการด้วยวิธีการอื่นโดยไม่รอกฎหมาย แต่วันนี้รัฐบาลเพียงแค่หยิบเรื่องกฎหมาย 3 ฉบับมาอ้าง เพราะไม่สามารถดำเนินการได้ทัน 1 ตุลาคมที่ประกาศไป
- หากรัฐบาลยืนยันว่า เป็นแผนและความตั้งใจของรัฐบาลมาโดยตลอดว่า รัฐสภาจะต้องผ่านกฎหมาย 3 ฉบับ ก่อน ถึงจะเริ่มนโยบายเรื่อง 20 บาทตลอดสายได้ แล้วเหตุใดรัฐบาลถึงประกาศว่าจะเริ่มต้นวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นไปได้ยากที่กฎหมาย 3 ฉบับ จะผ่านและบังคับใช้ทันกรอบเวลาดังกล่าว
ในวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 ที่ ครม. มีมติให้เริ่มคิดอัตราค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568 กฎหมาย 2 จาก 3 ฉบับ ยังไม่ถูกพิจารณาเสร็จในชั้น กมธ. ด้วยซ้ำ (พ.ร.บ. ตั๋วร่วม พิจารณาเสร็จในชั้น กมธ. วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 / พ.ร.บ. รฟม. พิจารณาเสร็จในชั้น กมธ. วันที่ 30 กรกฎาคม 2568)
ทั้งหมดนี้ จึงเท่ากับว่า รัฐบาลไปสัญญากับประชาชนว่าค่าโดยสารจะลดเหลือ 20 บาทในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทั้งๆ ที่รัฐบาลรู้ตั้งแต่วันนั้นอยู่แล้ว ว่าจะมีเวลาเพียงแค่ 2 เดือน ในการทำให้ร่างกฎหมายจากชั้น กมธ. ผ่านการบรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมเพื่อต่อคิวกฎหมายอื่น+ ผ่านการพิจารณารายมาตราในวาระที่ 2-3 ของสภาผู้แทนราษฎร + ผ่านการพิจารณา 3 วาระในชั้นวุฒิสภา + ถูกประกาศบังคับใช้ + มีการออกกฎหมายลูกตามมา ซึ่งเป็นการวางแผนกรอบเวลาที่กระชั้นชิดมากและแทบจะเป็นไปไม่ได้
- หากรัฐบาลมีความมุ่งมั่นว่าต้องการจะทำให้กฎหมายทั้ง 3 ฉบับผ่านทุกขั้นตอนให้ได้ภายในกรอบ 2 เดือนจริงๆ แล้วเหตุใด สส. รัฐบาลเองกลับไม่มาร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียงและต่อเนื่อง เพื่อเร่งผลักดันกฎหมายดังกล่าว
ไม่ว่าโฆษกพรรคเพื่อไทยจะพูดพาดพิงพรรคฝ่ายค้านอย่างไร แต่ข้อเท็จจริงและคณิตศาสตร์พื้นฐานที่ปฏิเสธไม่ได้ คือหาก สส. รัฐบาล มาประชุมสภากันครบทุกครั้ง สภาก็สามารถมีองค์ประชุมเพียงพอในการเดินหน้าประชุมและพิจารณาลงมติร่างกฎหมายต่อไปได้เรื่อยๆ ไม่ว่าการประชุมจะต้องดึกหรือลากยาวแค่ไหนก็ตาม
แต่ในความเป็นจริง เรากลับเห็นรองประธานสภาจากพรรคเพื่อไทยเสียเอง ที่มักเป็นคนเลือกปิดประชุมสภาเร็วกว่ากำหนดในหลายครั้ง
- ทางรัฐบาลจะเร่งหาทางออกหรือรับผิดชอบอย่างไร ต่อประชาชนที่อาจต้องเผชิญค่าโดยสารรถไฟฟ้าที่สูงขึ้นกว่าที่จ่ายอยู่ ณ ปัจจุบัน ซึ่งเป็นผลกระทบโดยตรงว่าจากความบกพร่องของรัฐบาล
ที่ผ่านมา คน กทม. ที่เดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นประจำ มักเลือกซื้อแพ็กเกจแบบเหมาเที่ยว (เช่น xx บาท สำหรับ xx เที่ยว) ซึ่งจะถูกกว่าการซื้อตั๋วเป็นครั้งๆ แต่เมื่อรัฐบาลประกาศว่านโยบาย 20 บาทจะเริ่ม 1 ตุลาคม 2568 ทาง BTS จึงเพิ่งมีการประกาศยกเลิกขายแพ็กเกจแบบเหมาเที่ยวไป เนื่องจากราคาต่อเที่ยวในแพ็กเกจดังกล่าวสูงกว่า 20 บาท ซึ่งอาจทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าโดยสารแพงขึ้นระหว่าง 1 ตุลาคม 2568 จนถึงวันที่เริ่มนโยบาย 20 บาท
แม้ตนเองเข้าใจดีว่าการออกแบบแพ็กเกจเป็นเรื่องของเอกชน แต่ในเมื่อต้นตอของปัญหามาจากความผิดพลาดของรัฐบาล สิ่งที่ประชาชนรอฟังคือรัฐบาลจะหาแนวทางแก้ปัญหาดังกล่าวอย่างไร
- เหตุใดโฆษกพรรคเพื่อไทยถึงต้องพูดทำนองว่าทางพรรคจะเดินหน้าผลักดันกฎหมาย 3 ฉบับนี้ ทั้งๆ ที่พรรคเพื่อไทยมี สส.ในกรุงเทพและปริมณฑลเพียง 2 คนเท่านั้น ผมเชื่อว่านักการเมืองทุกคนทราบดี ว่าทุกพรรคการเมือง ไม่ว่าจะมี สส. กี่คน หรือมี สส. จากพื้นที่ไหนบ้าง มีหน้าที่ในการนำเสนอและผลักดันกฎหมายที่เป็นประโยชน์สำหรับประชาชนในทุกพื้นที่
ทั้งนี้ การที่โฆษกพรรคเพื่อไทย ออกมาพูดทำนองตัดพ้อในลักษณะดังกล่าว จึงทำให้สังคมอดคิดไม่ได้ ว่าหรือลึกๆแล้ว ท่านเชื่อจริงๆว่าพรรคการเมืองควรผลักดันกฎหมายที่เป็นประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่ทีพรรคตนเองมี สส. มากกว่าพื้นที่ที่พรรคตนเองไม่มี สส.
พริษฐ์กล่าวทิ้งท้ายว่า หากท่านต้องการขอโทษ ประชาชน เกี่ยวกับความล่าช้าที่เกิดขึ้นจริงๆ ท่านควรหยุดเสียเวลาไปกับการหามุมในการโทษคนอื่น แต่ท่านควรเริ่มจากการยอมรับแบบตรงไปตรงมาว่าปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้น มาจากความไม่รอบคอบและไม่จริงจังของรัฐบาลในการผลักดันแม้กระทั่งนโยบายเรือธงของตนเอง