‘ภูมิธรรม’ สั่งทุกหน่วยสนับสนุน ‘กองทัพ’ รับมือกัมพูชา-ครม.โยกงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 2.6 หมื่นล้าน โปะงบกลาง
เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
- ‘ภูมิธรรม’ สั่งทุกหน่วยสนับสนุน ‘กองทัพ’ รับมือกัมพูชา
- กรมอุตุ-ปภ.เกาะติด ‘พายุคาจิกิ’ 24 ชม.
- สั่งทุกหน่วยชะลอซื้อ ‘Cloud’ – รอดีอีชง ครม.ใน 1 เดือน
- ยกเลิกคำสั่ง คสช. 8/2560 ปลดล็อก อปท.สรรหาครู
- มติ ครม.โยกงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 2.6 หมื่นล้าน โปะงบกลาง
- ไฟเขียว กทพ.กู้หมื่นล้าน สร้างทางด่วน ‘กะทู้ – ป่าตอง’
- อนุมัติ 2,900 ล้าน จัดสวัสดิการให้ ‘บัตรคนจน’ ปี’68
- ตั้ง ‘อ้อนฟ้า’ เลขาสภาพัฒน์ฯ-จ้าง ผอ.กองสลากต่ออีกวาระ
เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมนายภูมิธรรม ได้มอบหมายนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รายงานข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีรายละเอียดดังนี้
สั่งทุกหน่วยสนับสนุน ‘กองทัพ’ รับมือกัมพูชา
นายจิรายุ รายงานสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชาว่า นายภูมิธรรมสั่งให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนทรัพยากรต่างๆ ให้กับกองทัพ ทั้งนี้ รักษาการนายกรัฐมนตรีราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณทหารที่ประจำอยู่ชายแดนทั่วประเทศไทยในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ต้องอดทนอดกลั้นจากการยั่วยุของฝ่ายกัมพูชา ทั้งปฏิบัติการทางทหาร และการใช้โล่มนุษย์ ที่อาศัยประชาชนนำหน้าเคลื่อนไหวด้วยวิธีการต่างๆ
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ครม. วันนี้ได้สั่งการว่า หากกองทัพต้องการสนับสนุนอุปกรณ์ หรือ ทรัพยากรเร่งด่วนใด ๆ ขอให้แจ้ง ศบ.ทก. ดำเนินการประสานจัดการให้ทันที โดยให้หน่วยงานต่างๆ ยึดถือว่า สถานการณ์ชายแดนเป็นเรื่องสำคัญของประเทศ
นอกจากนี้ยังมีข้อสั่งการให้ ศบ.ทก. ประสานเรื่องการปฏิบัติงานให้มีผลสัมฤทธิ์ กระชับความเป็นเอกภาพทั้งการทหาร และการต่างประเทศ การประชาสัมพันธ์ รวมถึงการปฏิบัติงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย รวมถึงมาตรการอื่นๆ ที่ต้องเข้มงวด เช่น การปฏิบัติการไม่ให้พลเรือนกัมพูชารุกล้ำเขตแดนอย่างผิดกฎหมาย และเร่งรัดดำเนินการปราบปรามอาชญากรรม ด้านคอลเซ็นเตอร์ และนโยบายอื่นที่เกี่ยวข้อง
กรมอุตุ-ปภ.เกาะติด ‘พายุคาจิกิ’ 24 ชม.
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า นายภูมิธรรมสั่งการให้กรมอุตุนิยมฯ และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ติดตามสถานการณ์พายุคาจิกิอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชม. เพื่อตัดสินใจ แจ้งเตือนภัย สื่อสารให้ทั่วถึงเหมาะสมด้วยระบบต่างๆ โดยเฉพาะระบบ cell broadcast และเตรียมการกู้ภัยในพื้นที่ที่ได้ผลกระทบอย่างทันการณ์
สั่งทุกหน่วยชะลอซื้อ ‘Cloud’ – รอดีอีชง ครม.ใน 1 เดือน
นายจิรายุ กล่าวถึงการบริหารจัดการระบบคลาวด์ภาครัฐว่า เพื่อให้ประเทศไทยมีฐานข้อมูลกลางของรัฐในการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีมาตรฐาน เป็นระบบ ครบถ้วน และมีความปลอดภัย ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่มีการตั้งงบประมาณเพื่อจัดซื้อ จัดจ้าง หรือเช่าใช้บริการระบบคลาวด์ (Cloud) ชะลอการดำเนินการดังกล่าวไว้ก่อน เพื่อรอความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล (National Cloud) ของประเทศไทย จากกระทรวงดีอี ในฐานะหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล เพื่อประกอบการดำเนินการ โดยให้กระทรวงดีอี เร่งเสนอแนวทางดังกล่าวต่อ ครม. ภายใน 1 เดือน
แจงต่ออายุ ‘ผู้ว่าฯสระแก้ว – แม่ทัพภาค 2’
นายจิรายุกล่าวถึงประเด็นการต่ออายุข้าราชการของผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วที่ว่า “จากปรากฏเป็นข่าว (ว่ารัฐบาลจะต่ออายุให้) ขอย้ำว่าไม่เป็นความจริง มีการเรื่องการต่ออายุราชการไปเปรียบเทียบกับแม่ทัพภาคที่ 2 ที่ครบอายุ 60 ปีเป็นการเกษียณอายุราชการ ส่วนผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วยังไม่ครบ 60 ปี เพียงแต่กฎกติกาของกระทรวงมหาดไทยเขียนชัดเจนว่าใครดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการมาแล้ว 4 ปี ต้องเปลี่ยนแปลงย้ายจังหวัดหรือย้ายไปตำแหน่งอื่น ทั้งที่ยังเหลืออายุข้าราชการ 1 ปี ฉะนั้นที่ประชุม ครม. ขอต่ออายุราชการในตำแหน่งผู้ว่าในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา”
ยกเลิกคำสั่ง คสช. 8/2560 ปลดล็อก อปท.สรรหาครู
นายจิรายุ กล่าวต่อว่า วันนี้นายภูมิธรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก.ก.ถ.) ครั้งที่ 2/2568 โดยมีนายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงหรือเทียบเท่า และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ครั้งที่ 2/2568 ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 208/2568 ลงวันที่ 4 กรกฎาคม 2568 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ซึ่งตนได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินงานที่ก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจภาครัฐ รวมทั้งสามารถนำนโยบายของรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติที่สอดคล้องกับการพัฒนาความเจริญแก่ท้องถิ่น และสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่พี่น้องประชาชนได้
อย่างไรก็ตามจากการติดตามการดำเนินงาน พบว่า มีอุปสรรคในทางปฏิบัติ เนื่องจากบางหลักการเมื่อเทียบกับสภาพความเป็นจริงยังไม่สอดคล้องกัน ทั้งที่ในทางหลักการอาจไม่มีปัญหา แต่เมื่อลงมือปฏิบัติจริงกลับพบข้อจำกัด เช่น ความพร้อมของหน่วยงาน และการจัดสรรบทบาทหน้าที่ในการแก้ไขปัญหายังไม่ชัดเจน ซึ่งเรื่องนี้จำเป็นต้องร่วมกันปรับปรุงให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยจากวาระการประชุมในวันนี้ พบว่ามีหลายประเด็นที่สามารถดำเนินการได้ทันที ขณะเดียวกันยังมีบางเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบด้านเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน ทั้งนี้ เชื่อว่าหากยึดหลักการที่วางไว้ ควบคู่กับการคำนึงถึงความเป็นจริงในการปฏิบัติ จะช่วยให้การดำเนินงานเป็นไปในทิศทางที่ดีที่สุด
“ขอบคุณกรรมการทุกท่านที่เข้าร่วมประชุมในวันนี้ สำหรับการประชุมในครั้งนี้ มีเรื่องพิจารณาที่สำคัญ ๆ ที่จะต้องให้กรรมการทุกท่านให้ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนงานกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหวังว่ากรรมการทุกท่านจะมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ดีที่สุดในการขับเคลื่อนงานต่อ” รองนายกรัฐมนตรี กล่าว
สำหรับที่ประชุมได้มีการพิจารณาและเห็นชอบในประเด็นสำคัญ ดังนี้
- เห็นชอบการกำหนดสัดส่วนรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2570
- เห็นชอบหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569
- เห็นชอบหลักเกณฑ์ และแนวทางการจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2570
- เห็นชอบการทบทวนแนวทาง และหลักเกณฑ์ วิธีการและขั้นตอนการบริหารจัดการและการแก้ไขปัญหาการถ่ายโอนภารกิจงานก่อสร้าง และบำรุงรักษาถนนและสะพานที่ อปท. ได้รับการถ่ายโอนจากส่วนราชการ
- เห็นชอบกำหนดแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างส่วนราชการสถานีอนามัย (ถ่ายโอนครั้งแรก) และ
- เห็นชอบข้อเสนอการยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 8/2560 เรื่อง การขับเคลื่อนการปฏิรูปการบริหารงานบุคคลท้องถิ่น ลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2560 เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถสรรหาบุคลากรทางการศึกษาได้อย่างคล่องตัว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
มติ ครม.มีดังนี้
นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษก ฯ , นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและนายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกฯ ร่วมกันแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
โยกงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 2.6 หมื่นล้าน โปะงบกลาง
นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท และการใช้วงเงินงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจส่วนที่เหลือ โดยมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 5/2568 เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2568 ซึ่งมีความคืบหน้าดังนี้
รายงานความคืบหน้าการขอรับจัดสรรและผลการอนุมัติจัดสรรโครงการ/ รายงานกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการพิจารณาอนุมัติงบประมาณให้หน่วยงานได้รับงบประมาณแล้วทั้งสิ้น 49 หน่วยรับงบประมาณ รวม 8,431 รายการ วงเงินรวม 109,800.17 ล้านบาท โดยพิจารณาตามหลักฐาน และข้อเท็จจริงที่หน่วยงานรับงบประมาณจัดส่งให้ ตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง
รายงานผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการกำกับและติดตาม ผลการดำเนินงานตามแผนขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติในการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างความเข้มแข็งของระบบเศษฐกิจ พร้อมทั้งเห็นชอบให้ใช้ระบบ DASHBOARD แผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท
“การใช้วงเงินงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจฯ ส่วนที่เหลือ ประมาณ 26,000 ล้านบาท แต่เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีข้อเสนอโครงการเพื่อขอรับการจัดสรรงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเป็นช่วงใกล้สิ้นปีงบประมาณ ทั้งนี้เพื่อการใช้งบประมาณให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และสอดคล้องกับสถานการณ์ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณสามารถโอนงบกลางรายการดังกล่าว ไปเพิ่มในรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยเสนอขออนุมัตินายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 36 พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561”
ทั้งนี้ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือ จำเป็น ในปัจจุบัน ตามพระราชบัญญัติงบประมาณ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 มีจำนวน 96,556.71 ล้านบาท โดยหากมีการโอนงบดังกล่าวมาสมทบ จะทำให้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น มีจำนวน 122,556.71 ล้านบาท
ไฟเขียว กทพ.กู้หมื่นล้าน สร้างทางด่วน ‘กะทู้ – ป่าตอง’
นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม (คค.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ปรับรูปแบบการลงทุนของโครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงกระทู้ -ป่าตอง (โครงการฯ ระยะที่ 1) ระยะทาง 3.98 กิโลเมตร จากการให้เอกชนร่วมลงทุนตามติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2565 เป็นการให้ กทพ. ดำเนินโครงการโดยการจ้างออกแบบควบคู่การก่อสร้าง (Design & Build) ในกรอบวงเงินลงทุนค่าก่อสร้างรวมค่าควบคุมงาน จำนวน 10,964.77 ล้านบาท
2. อนุมัติให้ กทพ. กู้เงินและ/หรือออกพันธบัตรมาใช้ในการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 1 ในกรอบวงเงินลงทุนค่าก่อสร้างรวมค่าควบคุมงาน จำนวน 10,964.77 ล้านบาท โดยให้ กทพ. ทำความตกลงกับกระทรวงการคลัง (กค.) ในการจัดหาแหล่งเงินลงทุนโครงการที่เหมาะสม
3. อนุมัติให้ กทพ. ขอรับการอุดหนุนค่าใช้เขตทางหลวงตามกฎกระทรวงกำหนดค่าใช้เขตทางหลวงพิเศษ ทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงชนบท และทางหลวงสัมปทาน พ.ศ. 2564 ทั้งหมดจากรัฐบาล โดยมีค่าใช้เขตทางหลวง เป็นจำนวนเงิน 7.75 ล้านบาทต่อปี ตลอดอายุโครงการ
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2565 อนุมัติให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ดำเนินโครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต ระยะที่ 1 ช่วงกะทู้ – ป่าตอง (โครงการฯ ระยะที่ 1) โดยการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกขนในรูปแบบ PPP Net Cost ซึ่งต่อมา กทพ. ได้ดำเนินการประกาศเชิญชวนการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนของโครงการฯ ระยะที่ 1 และกำหนดให้เอกชนที่สนใจยื่นข้อเสนอในวันที่ 7 เมษายน 2566 แต่เมื่อครบกำหนดการยื่นข้อเสนอ ปรากฏว่าไม่มีเอกชนรายใดมายื่นข้อเสนอเพื่อเข้าร่วมลงทุนโครงการดังกล่าว ซึ่งภาคเอกชนให้เหตุผลที่ไม่ยื่นข้อเสนอ เช่น (1) ค่าลงทุนโครงการฯ ระยะที่ 1 อาจเกินกว่าที่ กทพ. ประมาณการไว้ (2) รูปแบบการลงทุนโครงการฯ ระยะที่ 1 มีความเสี่ยงสูงที่เอกชนจะไม่ได้รับผลตอบแทนการลงทุนที่เหมาะสมและ (3) ผลตอบแทนทางการเงินจากการลงทุนโครงการฯ ระยะที่ 1 ควรมีค่าสูงกว่าที่ กทพ. กำหนดไว้ จึงไม่สามารถจูงใจให้เอกชนสนใจเข้ามาร่วมลงทุนในโครงการฯ ระยะที่ 1 ได้
ต่อมา กทพ. จึงดำเนินการศึกษาทบทวนแนวทางการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 1 ซึ่งคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยในการประชุมครั้งที่ 6/2567 เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2567 มีมติเห็นชอบให้ กทพ. ดำเนินการปรับรูปแบบการลงทุนของโครงการฯ ระยะที่ 1 จากการให้เอกชนร่วมลงทุนโครงการ (PPP Net Cost) เป็นการให้ กทพ. จ้างออกแบบควบคู่การก่อสร้าง (Design & Build) ในกรอบวงเงินลงทุนรวม 16,757.01 ล้านบาท โครงการฯ ระยะที่ 1 มีรายละเอียดโครงการ เช่น
- แนวสายทางโครงการ: ก่อสร้างเป็นทางยกระดับขนาด 4 ช่องจราจรต่อทิศทาง (สำหรับรถยนต์ 2 ช่องจราจรต่อทิศทาง และรถจักรยานยนต์ 2 ช่องจราจรต่อทิศทาง) ระยะทางรวม 3.98 กิโลเมตร และมีอุโมงค์อยู่ในช่วงกลางของแนวสายทาง (อุโมงค์มีระยะทาง 1.85 กิโลเมตร) โดยจุดเริ่มต้นโครงการเชื่อมกับถนนพระเมตตา ในพื้นที่ตำบลป่าตอง อำเภอกะทู้ และมีจุดสิ้นสุดโครงการในพื้นที่ตำบลกะทู้ อำเภอกะทู้
- การจัดเก็บค่าผ่านทาง : เป็นแบบระบบบเปิด (Open System) ซึ่งจะจัดเก็บค่าผ่านทางอัตราเดียว (Flat Rate) และจะปรับเพิ่มขึ้นทุก ๆ 5 ปี
- การประมาณการรายได้โครงการ: จะมีรายได้ตลอด ระยะเวลา 30 ปี รวมทั้งสิ้น 39,234 ล้านบาท
- ความคุ้มค่าทางการเงิน/ทางเศรษฐศาสตร์: โครงการระยะที่ 1 มีอัตราผลตอบแทนทางการเงิน (FIRR) ร้อยละ 3.75 และมีอัตราผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ (EIRR) ร้อยละ 18.74
กทพ. ดำเนินการศึกษาแนวทางการดำเนินโครงการทางพิเศษจังหวัดภูเก็ต ซึ่งได้ข้อสรุปว่า การดำเนินโครงการโดยให้ กทพ. ลงทุนและก่อสร้างโครงการฯ ระยะที่ 1 ไปก่อนมีความเหมาะสมมากที่สุด เนื่องจากโครงการฯ ระยะที่ 1 มีความพร้อมในการก่อสร้าง (รายงาน EIA และการขอใช้พื้นที่ป่าไม้ได้รับความเห็นชอบแล้ว และได้เริ่มจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้ว) และสามารถเปิดบริการโครงการฯ ระยะที่ 1 ได้เร็วกว่ากรณีรวมการก่อสร้างทั้ง 2 ระยะ พร้อมกันประมาณ 1 ปี อีกทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ได้เร่งรัดให้ กทพ.เร่งก่อสร้างโครงการฯ ระยะที่ 1 เพื่อเปิดให้บริการโดยเร็ว เพื่อแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดขึ้นบริเวณจุดเชื่อมต่อระหว่างตำบลกระทู้และตำบลป่าตองให้มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒนาฯ) ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 เห็นควรให้ กทพ. เสนอผลการศึกษาความเหมาะสมของการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนในโครงการฯ พร้อมกันกับการเสนอขอเปลี่ยนแปลงรูปแบบการก่อสร้างโครงการฯ ระยะที่ 1 ซึ่ง กทพ. พิจารณาแล้ว ขอยืนยันแนวทางการดำเนินงานเดิมในการเสนอเรื่องขอทบทวนรูปแบบการลงทุนของโครงการฯ ระยะที่ 1 เพื่อขออนุมัติการก่อสร้างโครงการฯ ระยะที่ 1 โดย กทพ. ไปก่อน (ข้อเสนอในครั้งนี้)
ในส่วนข้อเสนอที่ขอให้ กทพ. กู้เงินและ/หรือออกพันธบัตรมาใช้ในการดำเนินโครงการฯ ระยะที่ 1 ในกรอบวงเงินลงทุนค่าก่อสร้างรวมค่าควบคุมงาน จำนวน 10,964.77 ล้านบาทนั้น มีสาเหตุมาจากนโยบายของรัฐบาลที่ให้ กทพ. ปรับลดอัตราค่าผ่านทางทำให้ กทพ. มีรายได้ลดลง ไม่สามารถนำเงินรายได้ของหน่วยงานมาใช้เป็นค่าลงทุนโครงการฯ ระยะที่ 1 ได้ ซึ่งในช่วงปีงบประมาณ 2567-2586 (ระยะเวลา 20 ปี) กทพ. มีประมาณการกระแสเงินสดขาดเป็นจำนวน 21,298.11 ล้านบาท ดังนั้น กทพ. จึงจำเป็นต้องขอกรอบวงเงินกู้หรือออกพันธบัตรของค่าก่อสร้างทั้งหมด และโดยที่พระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 57 (2) และ (3) บัญญัติให้ กทพ. จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการกู้ยืมเงินเกินหนึ่งร้อยล้านบาทหรือออกพันธบัตรเพื่อการลงทุน กทพ. จึงขอเสนอคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้
สำหรับข้อเสนอที่ กทพ. ขอรับการอุดหนุนค่าใช้เขตทางหลวงตามกฎกระทรวงกำหนดค่าใช้เขตทางหลวงพิเศษ ทางหลวงแผ่นดิน ทางหลวงชนบทและทางหลวงสัมปทาน พ.ศ. 2564 เป็นจำนวนเงิน 7.75 ล้านบาทต่อปี ตลอดอายุโครงการนั้น กทพ. แจ้งว่า ค่าใช้จ่ายดังกล่าวยังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมูลค่าลงทุนโครงการฯ ระยะที่ 1 จำนวน 16,757.01 ล้านบาท โดยจะขอรับการอุดหนุนงบประมาณแผ่นดินเป็นรายปีตลอดอายุโครงการต่อไป
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ (สงป.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาแล้วไม่ขัดข้อง โดยมีความเห็นเพิ่มเติม เช่น สงป.เห็นว่า สำหรับการขอรับการอุดหนุนค่าใช้เขตทางหลวงจากรัฐบาล สงป.จะพิจารณาจัดสรรให้ตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยคำนึงถึงสถานะทางการเงินของ กทพ. และเห็นว่ากระทรวงคมนาคม (คค.) และ กทพ. ควรเร่งรัดดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและรูปแบบการลงทุนของโครงการฯ ระยะที่ 2 ระยะทาง 30.62 กิโลเมตร ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
อนุมัติ 2,900 ล้าน จัดสวัสดิการให้ ‘บัตรคนจน’ ปี’68
นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 2,900 ล้านบาท ให้แก่กองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดสรรสวัสดิการให้แก่ผู้มีสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐ (ผู้มีสิทธิฯ) อย่างต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตามที่ คณะกรรมการประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม เสนอ
โดยกองทุนประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม มีการจัดสรรสวัสดิการแก่ผู้มีสิทธิฯ ตามโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ (โครงการฯ) ปี 2565 จำนวน 13.45 ล้านคน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 เป็นต้นมา ซึ่งมีสิทธิสวัสดิการประกอบด้วย
- การจัดประชารัฐสวัสดิการใหม่ สำหรับผู้ที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติตามโครงการฯ ปี 2565 ดังนี้
1) วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น สินค้าเพื่อการศึกษา และวัตถุดิบเพื่อเกษตรกรรม วงเงิน 300 บาทต่อเดือน เงื่อนไขจากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและร้านอื่น ๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด
2) วงเงินส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม วงเงิน 80 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน เงื่อนไขจากร้านค้าตามที่กระทรวงพลังงานกำหนด
3) วงเงินรวมค่าเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะ วงเงิน 750 บาทต่อคนต่อเดือน เงื่อนไขสำหรับขึ้นรถระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ รถบริษัท ขนส่ง จำกัด รถไฟฟ้า บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) รถไฟฟ้ามหานคร บริษัทรถไฟความเร็วสูงสายตะวันออกเชื่อมสนามบิน จำกัด และรถไฟ
4) มาตรการบรรเทาภาระค่าไฟฟ้า วงเงินอุดหนุนค่าไฟฟ้าไม่เกิน 315 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน เงื่อนไขกรณีที่ใช้ไฟฟ้าเกินวงเงินที่กำหนด ผู้มีสิทธิฯ จะเป็นผู้รับภาระค่าไฟฟ้าทั้งหมด
5) มาตรการบรรเทาภาระค่าน้ำประปา วงเงินอุดหนุนค่าน้ำประปาไม่เกิน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน เงื่อนไขกรณีที่ใช้น้ำประปาเกิน 100 บาท แต่ไม่เกิน 315 บาท ผู้มีสิทธิฯ ยังคงได้รับการสนับสนุนในวงเงิน 100 บาท และจะต้องชำระส่วนที่เกิน 100 บาทด้วยตนเอง แต่หากผู้มีสิทธิฯ มีการใช้น้ำประปาเกิน 315 บาท ผู้มีสิทธิฯ จะเป็นผู้รับภาระค่าน้ำประปาทั้งหมด
- เงินเพิ่มเบี้ยความพิการ จากเดิมจำนวน 800 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นจำนวน 1,000 บาทต่อคนต่อเดือน ในเบื้องต้นเฉพาะคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการและผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ โดยให้เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป [ตามมติคณะรัฐมนตรี (28 มกราคม 2563)]
- ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 กองทุนฯ มียอดเงินคงเหลือ 6,034.23 ล้านบาท โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 กองทุนฯ ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จำนวน 50,400 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อจัดสรรสวัสดิการให้แก่ผู้มีสิทธิฯ จำนวน 50,287.26 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุน จำนวน 112.74 ล้านบาท โดยที่ผ่านมากองทุนฯ มีการใช้จ่ายงบประมาณสำหรับการจัดสรรสวัสดิการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 – 31 กรกฎาคม 2568) เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 45,533.33 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 บัญชีของกองทุนฯ ซึ่งเป็นบัญชีเพื่อใช้จ่ายสำหรับการจัดประชารัฐสวัสดิการให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยตามโครงการฯ ปี 2565 มีสถานะคงเหลือ 6,556.36 ล้านบาท (ข้อมูลจากกรมบัญชีกลาง) โดยมีประมาณการค่าใช้จ่ายในช่วงเดือนสิงหาคม – กันยายน 2568 เฉลี่ยเดือนละ 4,720 ล้านบาท (รวมเป็นวงเงิน 9,440 ล้านบาท) ทำให้กองทุนฯ มีความจำเป็นต้องขอรับการจัดสรรรบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 2,900 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อจัดสรรสวัสดิการให้แก่ผู้มีสิทธิฯ ต่อไป
- คณะกรรมการฯ ในคราวการประชุม ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2568[รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) เป็นประธาน] ได้มีมติเห็นชอบประมาณการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 2,900 ล้านบาท สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดสรรสวัสดิการแก่ผู้มีสิทธิฯ ดังกล่าวแล้ว ซึ่งต่อมาสำนักงบประมาณได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณา โดยนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้กองทุนฯ ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 2,900 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดสรรสวัสดิการให้แก่ผู้มีสิทธิฯ อย่างต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
ทั้งนี้ การจัดสรรสวัสดิการแก่ผู้มีสิทธิฯ ตามโครงการฯ ปี 2565 จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานให้แก่ผู้มีสิทธิฯ รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตคนพิการซึ่งเป็นผู้มีสิทธิฯ ให้มีความต่อเนื่องในปึงบประมาณ พ.ศ. 2568
ชดเชยดอกเบี้ยให้ชาวไร่อ้อย 2-3% ต่อปี ลด PM 2.5
นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยสำหรับบริหารจัดการแหล่งน้ำและซื้อเครื่องจักรการเกษตรในไร่อ้อย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อย และแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อย สำหรับบริหารจัดการแหล่งน้ำและซื้อเครื่องจักรการเกษตรในไร่อ้อย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อย และแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ปี 2568 – 2570 โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อให้แก่เกษตรกรชาวไร่อ้อย กลุ่มเกษตรกร หรือสหกรณ์การเกษตร หรือสถาบันชาวไร่อ้อย หรือ กลุ่มบุคคล หรือ กลุ่มวิสาหกิจชุมชน วงเงินปีละ 2,000 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 6,000 ล้านบาท (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568-2570)
1.1 กำหนดระยะเวลา การชำระเงินคืนเงินกู้เสร็จสิ้นตามโครงการฯ โดยแยกตามวัตถุประสงค์การกู้เงิน หากกู้เงินเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งโดยการพัฒนาแหล่งน้ำและพัฒนาระบบการให้น้ำและเพื่อปรับพื้นที่ปลูกอ้อย กำหนดชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นไม่เกิน 6 ปี และหากกู้เงินเพื่อซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร กำหนดชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นไม่เกิน 8 ปี
1.2 ให้รัฐบาลรับภาระชดเชยดอกเบี้ย โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามโครงการฯ ดังนี้
(1) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามโครงการฯ สำหรับเกษตรกรรายคน รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. แทนผู้กู้ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี
(2) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามโครงการฯ สำหรับกลุ่มเกษตรกร หรือ สหกรณ์การเกษตร หรือสถาบันชาวไร่อ้อย หรือกลุ่มบุคคล หรือกลุ่มวิสาหกิจชุมชน รัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ ธ.ก.ส. แทนผู้กู้ในอัตราร้อยละ 2 ต่อปี
(3) อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ วัตถุประสงค์เพื่อจัดซื้อเครื่องจักรการเกษตร ประเภทรถบรรทุกและพ่วงบรรทุก รวมทั้งอากาศยานไร้คนขับ รัฐบาลไม่ต้องชดเชยดอกเบี้ย
2. อนุมัติกรอบวงเงินฯ เพื่อชดเชยดอกเบี้ยตามโครงการฯ ปี 2568-2570 ให้กับ ธ.ก.ส. จำนวน 945 ล้านบาท
แก้ประกาศ พณ.หนุนศูนย์กลางรถยนต์โบราณ
นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้าม หรือ ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่…) พ.ศ. … ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมาย และร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วนแล้วดำเนินการต่อไปได้
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ร่างประกาศดังกล่าว มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศ พณ. เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้าม หรือ ต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. 2562 ลงวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยประกาศ พณ. เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 ลงวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2562 โดยยกเว้นให้สามารถนำเข้ารถยนต์ใช้แล้วตามพิกัดอัตราศุลกากร 87.03 รถยนต์ และยานยนต์อื่น ๆ ที่ออกแบบสำหรับขนส่งบุคคลเป็นหลัก รวมถึงสเตชั่นแวกอนและรถแข่งและพิกัดอัตราศุลกากร 97.06 รถยนต์ใช้แล้วที่มีอายุเกิน 100 ปีขึ้นไป (รถยนต์โบราณ) ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และคุณลักษณะ ที่อธิบดีกรมสรรพสามิตประกาศกำหนด เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 เรื่อง (การทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 เรื่อง มาตรการส่งเสริมงานศิลปะและรถยนต์โบราณ (Classic Cars)]
พณ. ได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างประกาศดังกล่าว ผ่านระบบกลางทางกฎหมาย (www.law.go.th) และเว็บไซต์ของกรมการค้าต่างประเทศ (www.dft.go.th) ระหว่างวันที่ 10 – 24 มิถุนายน 2568 (รวมระยะเวลา 15 วัน) โดยมีผู้แสดงความคิดเห็นทั้งหมด 433 ราย มีผู้เห็นด้วย 378 ราย (ร้อยละ 87) รวมทั้งได้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย ตามกฎกระทรวงกำหนดร่างกฎที่ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบ พ.ศ. 2565 แล้ว
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงวัฒนธรรมเห็นชอบ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่า คณะรัฐมนตรีสามารถพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างประกาศดังกล่าวได้ตามที่เห็นสมควร
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ – เป็นการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยการสนับสนุนการจัดกิจกรรม สำหรับรถยนต์โบราณ (Classic Cars) ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศไทย และกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและชาวไทยทุกระดับ รวมทั้งเป็นการส่งเสริม อุตสาหกรรมการผลิต หรือ บูรณะ (Restoration) รถยนต์โบราณ (Classic Cars) ในประเทศไทยเพื่อส่งเสริมภาคธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
ผลกระทบต่อสังคม – เป็นการปลูกฝังค่านิยมในการอนุรักษ์และเห็นคุณค่าของรถยนต์โบราณ (Classic Cars) และเป็นการใช้ทุนวัฒนธรรมในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางรถยนต์โบราณ (Classic Cars)ในภูมิภาคที่ดึงดูดผู้ที่สนใจจากทั่วโลกได้
เห็นชอบแผนงาน JDA ปี’69 กรอบวงเงิน 5.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นางสาวศศิกานต์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบงบประมาณและแผนการดำเนินงานประจำปี 2569 ขององค์กรร่วมไทย – มาเลเซีย (องค์กรร่วมฯ) เป็นจำนวนทั้งสิ้น 5,648,400 ดอลลาร์สหรัฐ ตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ โดยใช้เงินที่ได้รับจากการขายปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไรในไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 จำนวน 5,480,854 ดอลลาร์สหรัฐ และจากงบประมาณเหลือจ่ายของปี 2567 จำนวน 167,546 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า องค์กรร่วมฯ ได้เสนอขอตั้งงบประมาณประจำปี 2569 เพื่อดำเนินงานเป็นจำนวน 5,648,400 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งประกอบด้วย
1. ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน จำนวน 5,436,000 ดอลลาร์สหรัฐ
2. ค่าใช้จ่ายที่เป็นทุน จำนวน 212,400 ดอลลาร์สหรัฐ
ซึ่งต่ำกว่างบประมาณประจำปี 2568 ที่ได้รับอนุมัติ เป็นจำนวน 74,400 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 1.30 ทั้งนี้ งบประมาณดังกล่าว องค์กรร่วมฯ ได้เสนอขอใช้เงินที่ได้รับจากการขายปิโตรเลียมส่วนที่เป็นกำไรในไตรมาสสุดท้ายของปี 2568 จำนวน 5,680,854 ดอลลาร์สหรัฐ และจากงบประมาณเหลือจ่ายของปี 2567 จำนวน 167,546 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคาดว่าในปีงบประมาณ 2569 จะมีรายได้รวมประมาณ 447.60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ องค์กรร่วมฯ มีแผนการดำเนินงานในปี 2569 ในกิจกรรมสำคัญที่จะดำเนินการในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย – มาเลเซีย ดังนี้
ด้านแปลง A – 18 มีแผนการดำเนินการ
- ไม่มีแผนเจาะหลุมประเมินผลในปี 2569
- มีแผนการหยุดผลิตทั้งระบบเป็นเวลา 10 วัน เพื่อกิจกรรมบำรุงรักษา
- ดำเนินการจัดหาและขนถ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว
- บำรุงรักษา ซ่อมแซมและแก้ไขหลุมผลิต และการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ
- บริหารจัดแหล่งกักเก็บปิโตรเลียมและติดตามผล เพื่อให้การผลิตมีประสิทธิภาพ
ด้านแปลง B – 17 – 01 มีแผนการดำเนินการ
- มีแผนการเจาะหลุมประเมินผลจำนวน 2 หลุมในปี 2569
- มีเป้าหมายในการเจาะหลุมพัฒนา จำนวน 72 หลุม บนแท่นผลิต Andalas – E แท่นหลุมผลิต Jengka – C และแท่นหลุมผลิต Andalas – D
- มีแผนการหยุดผลิตทั้งระบบจำนวน 2 ครั้ง (เดือนเมษายนและกันยายน 2569) ครั้งละ 10 วัน เพื่อตรวจสอบและบำรุงรักษา Booster Compressor และ Sale Gas Compressor และบำรุงรักษาวาล์วสำคัญต่าง ๆ
- ดำเนินการจัดหาและขนถ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว
- บำรุงรักษาอุปกรณ์และสิ่งติดตั้งที่ใช้ในการผลิตปิโตรเลียม
ทั้งนี้ สำหรับการบริหารจัดการปิโตรเลียมในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย – มาเลเซีย ตามสัญญาแบ่งปันผลผลิตสำหรับแปลง A-18 และแปลง B-17-01 ซึ่งมีแผนการดำเนินงานมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการสำรวจพัฒนา และผลิตปิโตรเลียม
จัดงบกลาง 1,696 ล้าน ลดภาระค่าไฟช่วยผู้ประสบอุทกภัย
นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติ ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 งบกลางรายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน 1,696 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการช่วยเหลือด้านค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ประสบอุทกภัย ในพื้นที่ที่หน่วยงานราชการประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติจากอุทกภัย สำหรับค่าไฟฟ้า ประจำเดือนกันยายนและเดือนตุลาคม 2567 แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย และกิจการขนาดเล็ก (ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่ 1 บ้านอยู่อาศัย และประเภทที 2 กิจการขนาดเลิก ตามประกาศโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าในปัจจุบันของ กฟภ.) ในพื้นที่ที่หน่วยงานราชการประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติจากอุทกภัย และให้ กฟภ. เบิกจ่ายเงินจากสำนักงบประมาณ (สงป.) ต่อไป ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ
นายอนุกูล กล่าวว่า เดิมคณะรัฐมนตรีมีมติ (24 กันยายน 2567) เห็นชอบในหลักการมาตรการช่วยเหลือด้านค่าไฟฟ้าแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่หน่วยงานราชการ ประกาศให้เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติจากอุทกภัย (รวม 18 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดลำพูน จังหวัดลำปาง จังหวัดเชียงราย จังหวัดพะเยา จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดสุโขทัย จังหวัดตาก จังหวัดพิจิตร จังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดแพร่ จังหวัดน่าน จังหวัดอุทัยธานี จังหวัดอุดรธานี จังหวัดหนองคาย จังหวัดนครพนม จังหวัดบึงกาฬ และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา) โดย (1) ไม่เรียกเก็บค่าไฟฟ้าประจำเดือนกันยายน 2567 และ (2) ให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าร้อยละ 30 ซึ่งกำหนดให้เป็นส่วนลดก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับค่าไฟฟ้าประจำเดือนตุลาคม 2567
ในครั้งนี้กระทรวงมหาดไทย (มท.) จึงเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อดำเนินมาตรการช่วยเหลือด้านค่าไฟฟ้าตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว วงเงิน 1,696 ล้านบาท ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบด้วยแล้ว โดยให้เบิกจ่ายในงบเงินอุดหนุนประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป และขอให้ มท. โดยการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ พร้อมทั้งรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ (สงป.) ตามขั้นตอนต่อไป
ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง (กค.) กระทรวงพลังงาน (พน.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาแล้วเห็นชอบ/ไม่ขัดข้อง โดย กค. เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุมและกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุด สำหรับการจัดสรรงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็น สงป.
อนุมัติ 18 โครงการ 363 ล้าน ช่วยผู้ประสบอุทกภัย จ.เชียงราย
นายอนุกูล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติให้จังหวัดเชียงราย ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือ จำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยของจังหวัดเชียงราย จำนวน 18 โครงการ วงเงินรวม 363.62 ล้านบาท และให้จังหวัดเชียงรายเบิกจ่ายเงินจากสำนักงบประมาณ (สงป.) ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ
นายอนุกูล กล่าวว่า ในช่วงเดือนกันยายน – ตุลาคม 2567 ประเทศไทยได้ประสบปัญหาอุทกภัยในหลายพื้นที่ โดยมีสาเหตุมาจากพายุไต้ฝุ่นยางิและพายุซูลิกรวมถึงมวลอากาศเย็นและร่องมรสุมพาดผ่านในพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน กรณีอุทกภัยและฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยแล้ว รวมถึงจังหวัดเชียงรายที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (29 พฤศจิกายน 2567) เห็นชอบในหลักการโครงการเร่งด่วนของจังหวัดเชียงรายเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย จังหวัดเชียงรายจึงได้เสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากสำนักงบประมาณ (สงป.) จำนวน 19 โครงการกรอบวงเงินรวม 397.59 ล้านบาท โดยนายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้จังหวัดเชียงรายใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 18 โครงการ วงเงินรวม 363.62 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยของจังหวัดเชียงราย
โครงการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยของจังหวัดเชียงรายมีดังนี้
1. โครงการหลงแสงเวียง เจียงฮาย (Light Festival) วงเงิน 9.68 ล้านบาท
2. โครงการฟื้นฟูและป้องกันทางหลวงที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยงานฟื้นฟูทางหลวง ทางหลวงหมายเลข 131 ตอนควบคุม 0100 ตอน ทางเลี่ยงเมืองเชียงราย ระหว่าง กม.8+700 – กม.9 +300 วงเงิน 45.00 ล้านบาท
3. โครงการปรับปรุงถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก และก่อสร้างรางระบายน้ำสาธารณะ ถนนภายในชุมชนเหมืองแดง หมู่ที่ 2 ตำบลแม่สายอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย วงเงิน 52.23 ล้านบาท
4. โครงการปรับปรุงถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก และก่อสร้างรางระบายน้ำสาธารณะ ถนนในชุมชนเกาะทราย หมู่ที่ 7 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย วงเงิน 24.04 ล้านบาท
5. โครงการปรับปรุงถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก และก่อสร้างรางระบายน้ำสาธารณะ ถนนในชุมชนไม้ลุงขน หมู่ที่ 10 ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย วงเงิน 53.20 ล้านบาท
6. โครงการปรับปรุงถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก และก่อสร้างรางระบายน้ำสาธารณะ ถนนสายลมจอย – ดอยเวา ชุมชนดอยเวา หมู่ที่ 1 ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย วงเงิน 12.18 ล้านบาท
7. โครงการปรับปรุงถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก และก่อสร้างรางระบายน้ำสาธารณะ ถนนในชุมชนป่ายางชุม หมู่ที่ 6ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย วงเงิน 12.18 ล้านบาท
8. โครงการก่อสร้างถนน ค.ส.ล. สายเลียบสายคลองชลประทาน หมู่ที่ 4 ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนในการสัญจรและลดผลกระทบจากอุทกภัย (ชร.ถ.56 – 054) วงเงิน 3.28 ล้านบาท
9. โครงการปรับปรุงซ่อมแชมระบบจัดการน้ำเสีย วงเงิน 17.65 ล้านบาท
10. โครงการบูรณาการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจจังหวัดเชียงรายจากสถานการณ์อุทกภัย วงเงิน 9.33 ล้านบาท
11. โครงการฟื้นฟูและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย ทางหลวงหมายเลข 1232 ตอนควบคุม 0100 ตอน อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งราย – เวียงชัย ระหว่าง กม.0+000 – กม.2+000 วงเงิน 45.00 ล้านบาท
12. โครงการปรับปรุงซ่อมแซมเขื่อนป้องกันตลิ่งบริเวณสวนสาธารณะ ริมแม่น้ำกกชุมชนฝั่งหมิ่น, ร่องเสือเต้น, ป่าแดง วงเงิน 25.00 ล้านบาท
13. โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำภายในเขตเทศบาลนครเชียงราย วงเงิน 17.63 ล้านบาท
14. โครงการปรับปรุงซ่อมแซมเขื่อนป้องกันตลิ่งบริเวณสวนสาธารณะเกาะลอย วงเงิน 14.23 ล้านบาท
15. โครงการปรับปรุงทางเท้าถนนกองคำ ชุมชนน้ำลัด วงเงิน 5.00 ล้านบาท
16. โครงการปรับปรุงระบบกลบฝังขยะมูลฝอย วงเงิน 15.00 ล้านบาท
17. โครงการปรับปรุงผิวจราจรด้วย Asphaltic Concrete และทางเดินเท้าถนนไกรสรสิทธิ์ วงเงิน 1.80 ล้านบาท
18. โครงการส่งเสริมและพัฒนาช่องทางการตลาดผลิตภัณฑ์ชุมชน วงเงิน 1.19 ล้านบาท
ทั้งนี้ สำหรับโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำกก หมู่บ้านธนารักษ์ กองทัพบก หมู่ที่ 3 ตำบลริมกก อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย จำนวน 29.10 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างขออนุญาตใช้พื้นที่ราชพัสดุจากกรมธนารักษ์เมื่อได้รับอนุญาตจากกรมธนารักษ์และมีความพร้อมของพื้นที่ดำเนินการแล้ว ให้จังหวัดเชียงรายขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
เยียวยาความไม่สงบชายแดนใต้ 279 ราย 139 ล้าน
นายอนุกูล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 139.93 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบสืบเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบฯ) จำนวน 279 ราย ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เสนอ โดยเบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น และให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ (สงป.) ตามขั้นตอนต่อไป
นายอนุกูล กล่าวว่า ในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2568 ศอ.บต. ได้รับการจัดสรรงบประมาณ แผนงานยุทธศาสตร์ป้องกัน และแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง โครงการสนับสนุนงานแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ งบรายจ่ายอื่น รายการค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ สืบเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 70 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบฯ ซึ่ง ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 ศอ.บต. ใช้จ่ายงบประมาณไปแล้ว จำนวน 63.35 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอในการเบิกจ่ายเพื่อคืนเงินทดรองราชการให้กับจังหวัด
ศอ.บต. จึงขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบฯ ในด้านร่างกายและทรัพย์สินตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง จำนวน 279 ราย วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น 139.93 ล้านบาท ซึ่ง สงป. แจ้งว่า นายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้ ศอ.บต. ใช้จ่ายงประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในกรอบวงเงิน 139.93 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบฯ จำนวน 279 ราย
ตั้ง ‘อ้อนฟ้า’ เลขาสภาพัฒน์ฯ-จ้าง ผอ.กองสลากต่ออีกวาระ
นายอนุกูล กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ และผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานรัฐ มีรายละเอียดดังนี้
1. เรื่อง การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร) เสนอโอน นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (นักบริหารระดับสูง) ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัด สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นักบริหารระดับสูง) สังกัดสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ในตำแหน่งที่จะว่างลง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
2. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงแรงงาน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงแรงงาน ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูงจำนวน 5 ราย เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน และทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
1. นางสาวบุปผา เรืองสุด รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม
2. นางมารศรี ใจรังษี เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นายพิเชษฐ์ ทองพันธ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมการจัดหางาน
5. นายสิบหมื่นชัย โพธิสินธุ์ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
3. เรื่อง การแต่งตั้งและกำหนดอัตราเงินเดือนของผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการต่อสัญญาจ้างพันโท หนุน ศันสนาคม เป็นผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล อีกวาระหนึ่ง และเห็นชอบค่าตอบแทน สิทธิประโยชน์อื่น และร่างสัญญาจ้างผู้อำนวยการสำนักงานสลากฯ พันโท หนุน ศันสนาคม ตามที่กระทรวงการคลัง เสนอ
ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ระบุในสัญญาจ้างผู้อำนวยการสำนักงานสลากฯ แต่ไม่ก่อนวันที่ คณะรัฐมนตรีมีมติ
4. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 6 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
1. นางภัทริยาวรรณ พันธุ์น้อย ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2. นายภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
3. นายสุรพงษ์ เอิมอุทัย ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
4. นายนิยม ไผ่โสภา รองศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค 3 สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
5. นายเสริมฤทธิ์ หวายฤทธิ์ธนกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
6. นายภูมิพัทธ เรืองแหล่ ผู้ช่วยเลขาธิการสภาการศึกษา สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
โดยกรณีการแต่งตั้งข้าราชการลำดับที่ 2-3 และลำดับที่ 6 ผู้มีอำนาจสั่งบรรจุทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยินยอมในการโอนแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
5. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอแต่งตั้ง นายบรรณารักษ์ เสริมทอง ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
6. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เสนอแต่งตั้ง นายเอกพงษ์ หริ่มเจริญ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
7. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการพัฒนาการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และเพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน ดังนี้
1. นายโชคชัย วิเชียรชัยยะ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ
2. นางสาวสนธยา บุณยภูษิต ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
8. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนผู้ดำรงตำแหน่งที่จะเกษียณอายุราชการ และตำแหน่งที่จะว่าง ดังนี้
1. นายมณเฑียร คณาสวัสดิ์ รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมควบคุมโรค
2. นายพงศธร พอกเพิ่มดี รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
9. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) กำกับการบริหารราชการ สั่ง และปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีในส่วนของสำนักงาน ก.พ. เสนอแต่งตั้ง นางสาวกมลลักษณ์ อ้นอารี ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ที่ปรึกษาระบบราชการ (นักทรัพยากรบุคคลทรงคุณวุฒิ) สำนักงาน ก.พ. ให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการ ก.พ. สำนักงาน ก.พ. สำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
10. เรื่อง ขออนุมัติต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ดำรงตำแหน่ง ประเภทบริหารระดับสูง (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) กำกับการบริหารราชการ สั่ง และปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีในส่วนของสำนักงาน ก.พ. เสนอต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ นายปิยวัฒน์ ศิวรักษ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง เลขาธิการ ก.พ. สำนักงาน ก.พ สำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะดำรงตำแหน่งดังกล่าวครบ 4 ปี ในวันที่ 30 กันยายน 2568 ต่อไปอีก 1 ปี (ครั้งที่ 1) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2569
11. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) เสนอ แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จำนวน 9 คน เนื่องจากกรรมการอื่นได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี ดังนี้
1. นายประพันธ์ เทียนวิหาร ผู้แทนเกษตรกร
2. นายเด่นณรงศ์ ธรรมมา ผู้แทนเกษตรกร
3. นายบุญช่วย มหิวรรณ ผู้แทนเกษตรกร
4. นายสมศักดิ์ ป้องปัญจมิตร ผู้แทนเกษตรกร
5. นายตระกูล สว่างอารมย์ ผู้แทนเกษตรกร
6. นายวุฒิศักดิ์ พรมแก้ว ผู้แทนเกษตรกร
7. นายปราณพงษ์ ติลภัทร ผู้ทรงคุณวุฒิ
8. พันจ่าเอก ประเสริฐ มาลัย ผู้ทรงคุณวุฒิ
9. นายธนู มีแสงเงิน ผู้ทรงคุณวุฒิ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป
12. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงมหาดไทย)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้ง นายวรณัฎฐ์ หนูรอต ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการปกครอง (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
13. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
1. นางรักสุดา กิจอรุณชัย นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช) โรงพยาบาลศรีธัญญา กรมสุขภาพจิต ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช) โรงพยาบาลศรีธัญญา กรมสุขภาพจิต ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2568
2. นายสันติชัย ฉ่ำจิตรชื่น นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช) โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ กรมสุขภาพจิต ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช) โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ กรมสุขภาพจิต ตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2568
3. นายอภิรักษ์ พิศุทธ์อาภรณ์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด [ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (แพทย์) สูง] สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดจันทบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม) โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช สำนักงานสาธารณสุข จังหวัดสุพรรณบุรี สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม 2568
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
14. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง ข้าราชการ พลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
1. นางวิมลรัตน์ วันเพ็ญ ผู้อำนวยการสถาบัน [นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงสุขภาพจิตชุมชน)] สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช) โรงพยาบาลสวนสราญรมย์ กรมสุขภาพจิต ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2567
2. นาวาอากาศตรี สุขุม ศิลปอาชา นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมสาขาจักษุวิทยา) กลุ่มงานจักษุวิทยา ภารกิจด้านวิชาการและการแพทย์ โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาจักษุวิทยา) โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
15. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
1. นายจุมพล ตันติวงษากิจ นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) สถาบันราชประชาสมาสัย กรมควบคุมโรค ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) สถาบันราชประชาสมาสัย กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม 2567
2.นายวัฒน์ชัย จรูญวรรธนะ นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มที่ปรึกษาระดับกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) กลุ่มที่ปรึกษาระดับกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2568
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
16. เรื่อง การจ้างข้าราชการภายหลังครบเกษียณอายุราชการ เป็นลูกจ้างชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษ (กระทรวงการต่างประเทศ)
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ อนุมัติการจ้าง นายศรัณย์ เจริญสุวรรณ เป็นลูกจ้างชั่วคราวเป็นกรณีพิเศษภายหลังครบเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน 2568 เป็นเวลา 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2568 โดยให้ได้รับค่าจ้างเท่ากับเงินเพิ่มพิเศษสำหรับข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ (พ.ข.ต.) รวมถึงสิทธิประโยชน์และสวัสดิการอื่น ๆ ที่ได้รับตามตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูต ระดับสูง) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ดำรงอยู่ก่อนเกษียณอายุราชการ ส่วนค่าย้ายถิ่นที่อยู่และค่าพาหนะเดินทางกลับประเทศไทยให้เป็นไปตามสิทธิที่พึงได้รับจากการพ้นหน้าที่ราชการในต่างประเทศตามปกติ
อ่านมติ ครม.ประจำวันที่ 26 สิงหาคม 2568 เพิ่มเติม