การปรับฐานของ Bitcoin คือโอกาสสะสมก่อนตลาดกระทิงรอบหน้า?
#Bitcoin #ทันหุ้น – ข้อมูลจาก Coinpedia ได้ระบุว่า ขณะที่ตลาดวอลล์สตรีทเฉลิมฉลองการทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นเหนือ 6,500 จุดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แต่ในทางกลับกันราคา Bitcoin (BTC) กลับดิ่งลงมาอยู่ที่ 109,850 ดอลลาร์ในวันนี้ หลังจากที่เคยทำราคาไว้ที่ 124,000 ดอลลาร์เมื่อเดือนที่แล้ว ขณะที่ ETH, XRP และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ ก็กำลังดิ้นรนเพื่อฟื้นตัวเช่นกัน
สำหรับนักเทรดและนักสังเกตการณ์ตลาดหลายคน นี่ไม่ใช่แค่การปรับฐานราคาธรรมดา แต่เป็นวงจรที่คุ้นเคยที่บางคนเรียกว่า “กลยุทธ์การล้างพอร์ตของกลุ่มผู้มีอำนาจ”
จับตาการปั่นราคาในตลาด
นักเทรดคริปโตนามว่าAsh Crypto ได้เตือนว่าบริษัทแลกเปลี่ยนขนาดใหญ่และกลุ่มเทรดที่มีอำนาจ อาจกำลังทำให้เกิดการดิ่งลงของราคาอย่างรุนแรงเพื่อ “เขย่า” ตำแหน่งการเทรดแบบใช้เลเวอเรจ กลยุทธ์นี้จะบังคับให้นักเทรดทั้งที่ใช้เลเวอเรจสูงและต่ำต้องขายสินทรัพย์ทิ้ง
สิ่งนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความกลัวและผลักดันนักลงทุนรายย่อยออกจากตลาด ในขณะที่วาฬ (นักลงทุนรายใหญ่) จะเข้าสะสมสินทรัพย์อย่างเงียบ ๆ ก่อนการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่รอบถัดไป
เขาชี้ไปที่การดิ่งลงครั้งก่อนหน้าของ Ethereum เป็นตัวอย่าง เมื่อ ETH ตกลงไปที่ 1,385 ดอลลาร์ หลายคนคิดว่าการปรับขึ้นได้จบลงแล้ว แต่ในอีกสี่เดือนต่อมา ราคากลับพุ่งขึ้นเกือบ 3.5 เท่า สู่จุดสูงสุดใหม่ที่เกือบ 4,950 ดอลลาร์
ขณะนี้ รูปแบบเดียวกันกำลังเกิดขึ้นในตลาด Altcoin การปรับฐานที่รุนแรงทำให้เกิดข่าวใหญ่และสร้างความตื่นตระหนกบนโซเชียลมีเดีย แต่นักลงทุนที่ฉลาดจะมองว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของ “ช่วงเวลาของการสะสม”
ทำไมไตรมาส 4 อาจเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยม
ปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคยังเป็นตัวเร่งสำคัญ ด้วยการคาดการณ์ว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยสองถึงสามครั้งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า สภาพคล่องทั่วโลกจะไหลกลับเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงคริปโต
หากเป็นเช่นนั้น เขากล่าวว่าเงินทุนจะสามารถไหลกลับเข้าสู่ตลาดคริปโตได้อย่างรวดเร็ว หนุนให้ราคา Bitcoin, Ethereum และ Altcoin หลัก ๆ พุ่งสูงขึ้น เขาให้คำแนะนำซ้ำ ๆ ว่า “อย่าถูกเขย่าออกจากตลาด”
ในเชิงประวัติศาสตร์ ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีมักจะเข้าสู่ช่วงขาขึ้นในไตรมาสที่ 4 ตามข้อมูลจาก Coinglass ในช่วง 6 จาก 10 ปีที่ผ่านมา ไตรมาสที่ 4 ให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยมีกำไรเฉลี่ยประมาณ 23%
เหตุผลสำคัญประการหนึ่งสำหรับแนวโน้มนี้คือ เมื่อไตรมาสที่ 3 ปิดด้วยสัญญาณที่ดี ไตรมาสที่ 4 มักจะเห็นการพุ่งขึ้นครั้งใหญ่ ตัวอย่างเช่น ในปี 2017, 2020 และ 2021 ไตรมาสที่ 4 ทำกำไรได้เกือบ 3 เท่า หลังจากที่ผลงานในไตรมาสที่ 3 แข็งแกร่ง