ชำแหละที่มา สส. ห่วยแตก! ทำสังคมสิ้นหวัง
18 ส.ค. 2568 - นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า สังคมสิ้นหวัง กับสส. ห่วยแตก
สัปดาห์นี้ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เจ้าของนิด้าโพล ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชน เกี่ยวกับประเด็นทางการเมือง เรื่องความหวังหรือสิ้นหวังกับพรรคการเมือง ซึ่งเป็นประเด็นที่สอดคล้องกับอารมณ์ความรู้สึกของประชาชน หลังจากก่อนหน้านี้ผลการสำรวจความไว้วางใจและความพึงพอใจของประชาชนต่อกองทัพ ที่สูงถึง 97% วันนี้ประชาชนจึงอยากจะรู้ว่า ความพึงพอใจ ความหวังหรือความสิ้นหวังต่อพรรคการเมือง ต่อนักการเมืองอยู่ในระดับใด
เมื่อนิด้าโพล ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชน ในเรื่อง มีความหวังหรือหมดหวังกับพรรคการเมือง แบ่งออกเป็นข้อๆ คือ
1.เมื่อถามถึงความพอใจของประชาชน ต่อการทำงานของ สส.ปัจจุบันในเขตเลือกตั้ง พบว่าไม่ค่อยพอใจ 32.29% ไม่พอใจเลย 28.24% รวมสัดส่วนความไม่พอใจ 60.53%
2.สำหรับการเลือกตั้ง สส.ปัจจุบัน ในเขตเลือกตั้งให้กลับเข้าสู่ตำแหน่ง พบว่าไม่เลือก 50.69%
3.ความหวังของประชาชนต่อพรรคการเมือง ที่มี สส. อยู่ในสภาผู้แทนราษฎรปัจจุบัน ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ในการแก้ปัญหาของประเทศ พบว่าหมดหวังแล้ว 41.1% ค่อนข้างหมดหวัง 34.19% รวมสัดส่วนการหมดหวัง 76.10%
4.การเลือก สส. แบบบัญชีรายชื่อ จากพรรคการเมืองเดิม ที่เคยเลือกเมื่อปี 2566 หากวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พบว่าไม่เลือก 40.46%
ผลการสำรวจทั้ง 4 ข้อ พบว่าประชาชนไม่เลือกพรรคการเมือง ไม่เลือก สส. ชุดเดิมสูงเกิน 50% ซึ่งสอดคล้องกับสภาพบทบาทของ สส.ในปัจจุบัน ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรในชุดปัจจุบัน มี สส. 2 ส่วน คือ
ส่วนแรก สส. ที่ได้มาจากการซื้อเสียงเป็นหลัก พวกนี้จะเป็นนักธุรกิจสีเทา ทำอาชีพที่ผิดกฎหมาย ทำการพนันออนไลน์ หวยใต้ดิน เป็นผู้รับเหมา ฮั้วประมูล มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ได้เงินมาแบบง่ายๆ เป็นเงินจากตลาดมืด เป็นเงินสีเทาสามารถซื้อเสียงได้เต็มที่ แบบไม่รู้สึกเสียดาย จะเห็นนักการเมืองที่เป็น สส.ยุคนี้ได้มาจากการซื้อเสียงใช้เงิน แต่ละเขตไม่ต่ำกว่า 50-100 ล้านบาท จะเห็นพรรคการเมืองลงทุนกับการเลือกตั้ง สส. ระดับหลัก 1 พันล้านบาท ถึง 1 หมื่นล้านบาทก็มี จะเห็น สส.เหล่านี้เข้ามาเป็น สส.ที่ไม่มีคุณภาพ เมื่อทำงานก็ไม่ได้ยึดผลประโยชน์ของประชาชน จะคำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเองและพรรคที่สังกัด เพราะได้มาจากการซื้อเสียง หวังที่จะถอนทุนคืน เมื่อเข้ามาเป็น สส.แล้ว ก็อยากจะผลักดันให้พรรคการเมืองเข้าร่วมรัฐบาลให้ได้ เพราะเป็นโอกาสเดียวของการเข้าร่วมรัฐบาล คือการเข้าไปถอนทุนและสะสมทุน เพื่อจะนำไปสู่การเลือกตั้งครั้งต่อไป จะเห็นภาพพรรคร่วมรัฐบาลจับมือกันแน่น ไม่ยอมถอนตัว ไม่ว่ากระแสหรือสถานการณ์ทางการเมืองจะเป็นอย่างไร ไม่สนกระแสความรู้สึกของประชาชน ของสมาชิก และของสังคมเลยขอให้ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาลต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
ส่วนที่ 2 เป็น สส.ที่ได้มาจากกระแสพรรค กระแสประชาชนนิยมพรรค พรรคจะส่งใครลงสมัครรับเลือกตั้ง ประชาชนก็เลือก เพราะหวังจะให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้เห็น สส.ที่ได้รับเลือกเข้ามา เป็น สส.ประเภทวัยรุ่น คนหน้าใหม่ ไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง ไม่มีวุฒิภาวะ ยังอยู่คึกคะนองอยู่ จะเห็นพฤติกรรมของนักการเมืองหรือ สส.เหล่านี้ เหมือนกับวัยรุ่นทั่วไป เหมือนกับเด็กแว้น สก๊อย การแสดงออกมีความเชื่อมั่นในตัวตัวเองสูง อีโก้สูง มีความเป็นเอกชนวีรชน ไม่เชื่อฟังใคร เข้ามาแล้วคิดว่าตัวเอง คือความถูกต้อง กล้าแสดงออก ไม่ได้คำนึงถึงความเหมาะสม คิดแต่จะสร้างคอนเทนต์ หรือทำเพื่อให้เป็นประเด็นข่าว พรรคต้นสังกัดก็ควบคุมได้ยาก เพราะเมื่อเข้ามาเป็น สส.แล้ว สิ่งแวดล้อมทำให้ สส.เหล่านี้ใจแตก ไม่เชื่อฟังและก็ไม่อยู่ในกรอบวินัยของพรรค เห็นการแสดงออกอยู่หลายครั้ง การโพสต์ข้อความที่หยาบคาย สุ่มเสี่ยงต่อความรู้สึกของประชาชน การอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร พาดพิงไปยังองค์กรต่างๆให้ได้รับความเสียหาย ใช้คำที่สร้างความแตกแยก ด้อยค่าองค์กรทางศาสนา กระทบกระเทือนความรู้สึกของประชาชน ทำให้ประชาชนเห็นว่า สส.กลุ่มนี้ไม่มีคุณภาพ ไม่มีวุฒิภาวะ
ทั้งหมดนี้คือภาพลักษณ์ของ สส.ในสภาผู้แทนราษฎร ทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล อยู่ในสภาพที่คุณภาพต่ำ ประชาชนคาดหวังไม่ได้เลย ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจของนิด้าโพลในสัปดาห์นี้จริงๆ.