ส่งออก ก.ค. 68 โต 11% ต่อเนื่อง 13 เดือน จับตาครึ่งปีหลัง ภาษีสหรัฐฯ
วันนี้ (25 ส.ค.2567) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ แถลงการส่งออกของไทยในเดือนกรกฎาคม 2568 มีมูลค่า 28,580.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (928,342 ล้านบาท) ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 ที่ 11% หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ 16.6%
ทั้งนี้การส่งออกเติบโตได้อย่างต่อเนื่องแม้จะเข้าใกล้วันสิ้นสุดมาตรการยกเว้นภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม ผู้นำเข้าทั่วโลกยังคงเร่งนำเข้าเพื่อปิดความเสี่ยง ประกอบกับการที่รัฐบาลไทยสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนว่าจะสามารถบรรลุผลการเจรจาอัตราภาษีกับสหรัฐฯ ได้อย่างลุล่วง และพร้อมมีมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบด้านภาษีของสหรัฐฯ เป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นต่อธุรกิจส่งออกของไทย
ขณะที่ดุลการค้าของไทยเกินดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่สาม การส่งออกขยายตัวในอัตราสูงในเกือบทุกกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ทั้งนี้ การส่งออก 7 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัวที่ 14.4% หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ 14.5%
การส่งออกสินค้าเกษตร
สำหรับการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 10.9% ขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือนโดยสินค้าเกษตร ขยายตัว 21.5% ขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือน ในขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร หดตัว 0.2% กลับมาหดตัวในรอบ 4 เดือน
โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ขยายตัว 107.7% ขยายตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฮ่องกง และเกาหลีใต้) ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป ขยายตัว 9.8% ขยายตัวต่อเนื่อง 10 เดือน (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ มาเลเซีย และเนเธอร์แลนด์) อาหารสัตว์เลี้ยง ขยายตัว 9.1% ขยายตัวต่อเนื่อง 22 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น อิตาลี ออสเตรเลีย และมาเลเซีย)
ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ ขยายตัว 21.8% ขยายตัวต่อเนื่อง 19 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน ออสเตรเลีย เมียนมา ลาว และญี่ปุ่น) น้ำตาลทราย ขยายตัว 36.2% ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ลาว มาเลเซีย และจีน) และผลไม้กระป๋องและแปรรูป ขยายตัว 12.9% ขยายตัวต่อเนื่อง 22 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ ออสเตรเลีย เนเธอร์แลนด์ แคนาดา และเม็กซิโก)
ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ยางพารา หดตัว 19.9% หดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (หดตัวในตลาดจีน มาเลเซีย สหรัฐฯ อินเดีย และบราซิล แต่ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น เวียดนาม สเปน เยอรมนี และปากีสถาน) ข้าว หดตัว 16.3% หดตัวต่อเนื่อง 9 เดือน (หดตัวในตลาดอิรัก ฮ่องกง เซเนกัล โกตดิวัวร์ และญี่ปุ่น แต่ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน แอฟริกาใต้ โมซัมบิก และสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก)
อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป หดตัว 3.4% หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ออสเตรเลีย แคนาดา ลิเบีย และซาอุดีอาระเบีย แต่ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น อียิปต์ อิสราเอล เปรู และจีน) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง หดตัว 12.6% กลับมาหดตัวในรอบ 3 เดือน (หดตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ แต่ขยายตัวในตลาดมาเลเซีย เกาหลีใต้ สหรัฐฯ ฟิลิปปินส์ และออสเตรเลีย)
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม
มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 14% ขยายตัวต่อเนื่อง 16 เดือน โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัว 61% ขยายตัวต่อเนื่อง 16 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน มาเลเซีย เนเธอร์แลนด์ และสิงคโปร์) และผลิตภัณฑ์ยาง ขยายตัว 9.7% ขยายตัวต่อเนื่อง 13 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย และมาเลเซีย)
ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน หดตัว 24.7% หดตัวต่อเนื่อง 4 เดือน (หดตัวในตลาดจีน อินเดีย สิงคโปร์ เวียดนาม และญี่ปุ่น แต่ยังขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เบลเยียม บรูไน ปากีสถาน และแอฟริกาใต้) ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ หดตัว 6.4% หดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (หดตัวในตลาดจีน เวียดนาม ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย แต่ยังขยายตัวในตลาดสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหรัฐฯ มาเลเซีย อียิปต์ และซาอุดีอาระเบีย)
แนวโน้มการส่งออกช่วงที่เหลือปี 68
แนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 2568 คาดว่าจะยังคงเติบโต หลังจากที่ไทยประสบความสำเร็จในการเจรจาลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จาก 36% เหลือเพียง 19% ซึ่งเป็นอัตราที่ใกล้เคียงกับประเทศผู้ส่งออกอื่น ๆ ในภูมิภาค ช่วยคลายความกังวลของนักลงทุนและผู้ประกอบการส่งออก ลดการเสียเปรียบในด้านการแข่งขัน และกระตุ้นการลงทุนในอนาคต ซึ่งเป็นผลมาจากการทำงานร่วมกันของหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแสดงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาของทีมเจรจาไทย และถือเป็นก้าวสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทย และสหรัฐฯ
โดยหลังจากนี้ ไทยจะให้ความสำคัญกับการพัฒนากลไกการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าอย่างจริงจังมากขึ้นเพื่อสร้างความเป็นธรรมทางการค้า ขณะเดียวกันจะมีมาตรการช่วยเหลือที่เหมาะสมให้กับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการลดภาษีสินค้านำเข้าให้กับสหรัฐฯ ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ยังต้องเฝ้าระวังปัจจัยกดดันการส่งออกไทยในช่วงที่เหลือของปี อาทิ การส่งออกชายแดนไทย-กัมพูชา ที่หยุดชะงักไปจากสถานการณ์ความขัดแย้ง ปริมาณสินค้าคงคลังของประเทศผู้นำเข้าที่สะสมไว้ในช่วงก่อนการประกาศผลของการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ
รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่อาจทำให้คำสั่งซื้อในอนาคตชะลอตัวลงจากภาคการส่งออก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อหามาตรการรับมือที่เหมาะสมต่อไป ขณะที่การดำเนินการเชิงรุกเปิดตลาดการค้าและผลักดันการส่งออกไปยังตลาดใหม่ ๆ ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง