วินาทีความเป็นความตาย บทสัมภาษณ์ผู้ลี้ภัยการเมืองชาวลาว หลังถูกลอบสังหารที่ฝรั่งเศส
***Trigger Warning บทสัมภาษณ์นี้ มีรายละเอียดเกี่ยวกับ การลอบสังหาร การแทงด้วยมีด การบาดเจ็บรุนแรง และความรุนแรงทางการเมือง***
หากพูดถึงชื่อโจเซฟ อัครวงศ์(Joseph Akaravong) หรือ ‘ประธานโจ’ นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยชาวลาว ขณะนี้ลี้ภัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศส คนไทยหลายคนอาจไม่ค่อยคุ้นหูนัก แต่หากพูดถึงเหตุการณ์การเมืองใหญ่ๆ ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ไม่ว่าจะเป็น
เหตุการณ์เขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อยแตก เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2561
และการลาออกจากตำแหน่งของ คำพัน วิพาวัน นายกรัฐมนตรีของสปป.ลาว ในปี 2565
ก็อาจทำให้ใครหลายคนคุ้นหูมาบ้าง เหตุการณ์ข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวของนักกิจกรรมผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยชาวลาวคนนี้
“ในปี 2561 ผมตัดสินใจว่าต้องออกจากเมืองลาว” โจเซฟกล่าว
แม้ว่า สปป.ลาว จะใช้ชื่อว่า ‘สาธารณรัฐประชาธิปไตย’ แต่แท้จริงแล้ว กลับไม่ได้มีประชาธิปไตยอย่างเสรีในประเทศ รายงานจาก Freedom in the World 2025ให้คะแนนความมีเสรีภาพของ สปป.ลาว ที่ 13/100 คะแนน อีกนัยหนึ่งคือเป็นประเทศไร้เสรีภาพ หรือ ‘Not Free’
มูลนิธิมานุษยะ (Manushya Foundation) เปิดเผยบันทึก ‘การกดปราบผู้ลี้ภัยข้ามชาติ’ (Transnational Repression) หรือการที่รัฐไล่ปราบปรามผู้ลี้ภัยข้ามชาติ ไม่ว่าจะเป็นการไล่ล่า ข่มขู่ ผู้ถูกหมายหัวเป็น ‘ศัตรูของรัฐ’ อย่างเป็นระบบของผู้ลี้ภัยชาวลาวไว้ดังนี้
ในปี 2555 สมบัด สมพอน ผู้นำภาคประชาสังคม ถูกอุ้มหายในนครหลวงเวียงจันทน์ และสูญหายจนถึงปัจจุบัน
ปี 2562 โอด สายาวง ผู้ก่อตั้งขบวนการ Free Laos หายตัวไปในกรุงเทพฯ ประเทศไทย
ปี 2566 อนุสา ‘แจ็ค’ หลวงสุพรม ถูกยิงที่เวียงจันทน์ เพราะเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ เขารอดชีวิต แต่ปัจจุบันต้องหลบซ่อน
ปี 2567 บุญสวรรค์ กิติยานนท์ สมาชิก Free Laos ถูกยิงเสียชีวิตที่อุบลราชธานี ประเทศไทย
ปี 2567 นันทิดา ภูมิชิต นักศึกษาวัย 21 ปี เปิดโปงว่าถูกเจ้าหน้าที่สภาแห่งชาติข่มขืน และต้องหนีออกนอกประเทศ เพราะหวั่นเกรงอิทธิพลของผู้มีอำนาจ
และวันที่ 14 มิถุนายน ปี 2568 โจเซฟ อัครวงศ์ ถูก ‘ลอบสังหาร’ อย่างเหี้ยมโหดและโจ่งแจ้ง เขาถูกมีดแทงที่ลำคอและตัวหลายจุด ที่ประเทศฝรั่งเศสแต่โชคดีที่รอดชีวิตมาได้อย่าง ‘ปาฎิหาริย์’
แม้ว่าทางตำรวจยังไม่สามารถเปิดเผยแรงจูงใจในการพยายามฆ่าครั้งนี้ แต่ด้วยเวลา สถานการณ์ เป้าหมาย และบริบททุกอย่างอาจบ่งชี้ได้ว่า เป็น ‘การกดปราบผู้ลี้ภัยข้ามชาติ’
The Momentum มีโอกาสคุยกับโจเซฟ อัครวงศ์หรือ ‘ประธานโจ’ ถึงวินาทีที่ความเป็นและความตายมีค่าเท่ากัน ที่แม้แต่เขาก็คิดว่า “ผมไม่รอดแล้ว ผมต้องตายแน่ๆ” และการตั้งคำถามถึงความปลอดภัยของผู้ลี้ภัยทางการเมืองทั่วโลก
“พอเหตุการณ์โดนลอบฆ่าเกิดขึ้นกับผมแบบนี้ ทุกคนก็ตกใจหมด เพราะนี่คือประเทศฝรั่งเศส แต่กลับเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็สรุปอย่างเป็นทางการว่าคือการลอบสังหาร เพราะลงมือในจุดสำคัญที่คอ และใช้มีดเแทงบริเวณหัวใจและปอด”
โจเซฟเล่าย้อนเหตุการณ์ก่อนถูกลอบสังหารว่า ในวันนั้นเขามีนัดกับนักเคลื่อนไหวชาวลาว ที่ชื่อ ‘หมวย’ ที่ถูกทางการจับเมื่อปี 2562 ด้วยเหตุผลการทำงานด้านสิทธิมนุษยชน และประณามการทุจริตคอร์รัปชันของรัฐบาลลาว ต่อมาในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน หมวยถูกตัดสินจำคุก 5 ปี และปรับ 20 ล้านกีบ (หรือประมาณ 80,000 บาท)
ในช่วงเวลาที่หมวยถูกทางการจับ โจเซฟและเพื่อนๆ นักกิจกรรมก็ช่วยกันทำแคมเปญ #FreeMuay และช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่ายขณะเธออยู่ในคุก ต่อมาหมวยถูกปล่อยตัวและติดต่อมาหาแฟนสาวของโจเซฟว่า “ห้ามบอกโจเซฟนะ ว่าจะเดินทางมาเที่ยวประเทศฝรั่งเศส”
“แฟนผมก็ไม่บอกผม เพราะรู้จักสนิทกัน พอหมวยมาถึงฝรั่งเศสเขาก็ทักมาบอกผมว่า อยากเจอผม อยากมาเยี่ยมผม ผมก็เริ่มสงสัยว่า ทำไมอยู่ๆ ได้ออกประเทศมา เพราะปกติแล้วผู้ลี้ภัยทางการเมืองเป็นเรื่องยากมากๆ ที่รัฐบาลจะปล่อยตัวออกมา “ทุกคนเลยเริ่มสงสัยกัน ผมก็คิดว่าคงเป็นเรื่องปกติเพราะเพื่อนคงอยากมาเจอ ผมจึงถามหมวยไปว่า ทำไมถึงได้ออกนอกประเทศง่ายจัง ขอดูวีซ่าได้ไหม แต่เขาก็ไม่ให้ดู พอถามว่าใครเป็นคนพามาก็ไม่บอก ขอดูตั๋วกลับประเทศลาวก็ไม่ได้”
แม้ว่าโจเซฟจะมีคำถามร้อยแปดอยู่ในหัว และแม้ว่าเขาจะระวังตัวอย่างมากหลังลี้ภัยมาอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส เช่น ไม่บอกที่อยู่กับใคร ไม่สุงสิงกับคนแปลกหน้า แต่เขาก็เลือกเชื่อใจในมิตรภาพ
“อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ผมก็คิดประมาณนี้ เลยตัดสินใจไปเจอเขา ประมาณวันที่ 13 มิถุนายน ผมก็ไปเจอหมวยและแฟน ก็เดินดูเมืองแล้วก็ดื่มเบียร์คุยกันแล้วก็แยกย้ายมานอน พอตื่นเช้ามาอีกวัน เราก็เดินคุยกับหมวยสองคน แฟนเขาออกไปซื้อของ ก็คุยกันหลายเรื่อง แต่อยู่ๆ ก็มีคนเดินมาด้านหลังผม แล้วใช้มีดปาดคอ
“โชคดีที่ว่าผมใช้มือซ้ายปกป้องคอได้ มันเลยปาดเข้ามาไม่ถูกจุด แต่จุดสำคัญคือมันปาดคอผม 2 ครั้ง แล้วก็สลัดออก แล้วผมก็ใช้มือกดที่คอ แต่พอเขาเห็นว่าผมยังไม่ตาย เลยกลับมาใช้มีดแทงอีก 2 ครั้งที่หัวใจ แล้วก็ที่ปอด พอแทงเสร็จเขาก็วิ่งหนี”
หลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารอันอุกอาจนี้ โจเซฟจึงขอให้คนที่เห็นเหตุการณ์ช่วยกันโทรหากู้ภัย และโชคดีที่มีพลเมืองหลายคนเข้ามาช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้น จนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล
“ในตอนนั้นผมคิดว่าผมจะไม่รอดแล้ว มันปวด หายใจไม่ได้ และผมฟื้นมาอีกทีก็ผ่านไป 6-7 ชั่วโมง อยู่ในสภาพปางตาย
“ตอนนั้นผมรู้สึกว่าจะตายแบบนี้เหรอวะ ยังมีอะไรหลายๆ อย่างที่ทำไม่เสร็จ ถ้าตายตอนนี้ ผมเป็นห่วงแฟนด้วย เขาอยู่คนเดียว และตอนนี้ก็ยังไม่ได้สถานะผู้ลี้ภัย แล้วใครจะดูแลเขา ไหนจะเมืองลาวด้วย ถ้าเราตายไปแบบนี้จะทำอย่างไรต่อ ไหนจะเรื่องครอบครัวอีก แม่ก็แก่แล้ว ใครจะดูแลแม่ล่ะ พอคิดแบบนี้ผมก็พยายามหายใจ แต่ขณะเดียวกันก็หายใจไม่ออก ท้องมันแข็งไปหมด
“เราก็คิดว่ายังไม่ได้ทำอะไรหลายหลายอย่าง และหลายอย่างก็ยังทำไม่เสร็จ จะตายไม่ได้ มันเพิ่งเริ่มต้นเอง พอคิดแบบนี้แล้วผมก็เลยพยายามไม่หลับ”
หลังเกิดเหตุ หมวยได้เดินทางออกจากฝรั่งเศสในวันที่ 15 มิถุนายน จึงไม่ถูกสอบสวน แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจฝรั่งเศสสามารถจับกุมผู้ลอบสังหารได้ ซึ่งเป็นคนจากนิวซีแลนด์
“คุณได้บอกใครล่วงหน้าไหม ว่าคุณจะมาเมืองนี้” เจ้าหน้าที่ตำรวจถาม
“ผมบอกแค่แฟนของหมวยว่าผมจะไปที่เมืองโป (Pau)” โจเซฟตอบ
เจ้าหน้าที่ตำรวจยังระบุต่อว่า คดีนี้ค่อนข้างยาก เพราะผู้ลงมือเป็นคนนิวซีแลนด์ หากเป็นคนในฝรั่งเศสจะง่ายกว่า แต่ขณะเดียวกัน รัฐบาลฝรั่งเศสก็ได้ติดต่อไปทางนิวซีแลนด์เพื่อแจ้งว่า มีนักฆ่ามาลอบสังหารผู้ลี้ภัย โดยหลังจากเกิดเหตุ ก็ไม่มีการติดต่อกับหมวยอีกเลย
“สถานะของผมเป็นผู้ลี้ภัย แล้วรัฐบาลฝรั่งเศสก็ได้ให้ผมมาอยู่ในประเทศด้วย ซึ่งเรื่องแบบนี้มันไม่ค่อยจะเกิดขึ้น แทบจะไม่เกิดขึ้นเลย”
โจเซฟยังระบุว่า จากเหตุการณ์ของเขาทำให้เห็นว่า ‘ความปลอดภัย’ ของผู้ลี้ภัยการเมือง ‘ไม่มีเลย’ ขนาดประเทศฝรั่งเศสที่ขึ้นชื่อเรื่องเสรีภาพ ยังทำการโจ่งแจ้งได้ขนาดนี้ และเขามองว่าในโลกนี้ไม่ควรมีผู้ลี้ภัยทางการเมือง
“ไม่ว่าจะเป็นผู้ลี้ภัยจากสถานะอะไร จากเชื้อชาติ จากประเด็นทางสังคม หรือว่าทางการเมือง ไม่ควรมีผู้ลี้ภัยจากประเด็นเหล่านี้ ที่จริงไม่ควรมีผู้ลี้ภัยด้วยซ้ำ”
ส่วนสิ่งที่โจเซฟอยากจะบอกกับนักกิจกรรมหรือนักเคลื่อนไหวต่างๆ คือ ทุกคนสามารถเดินตามความฝันความเชื่อได้ แต่สิ่งที่อยากให้ทุกคนทราบคือ การเป็นผู้ลี้ภัยนั้นเป็นเรื่องลำบาก และไม่ใช่ทุกคนที่จะได้สถานะเป็นผู้ลี้ภัยในประเทศโลกที่หนึ่ง
“ผมอยากจะบอกกับทุกคนเสมอเลยว่า การเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองมันลำบาก ลำบากทั้งแบบว่าต้องลี้ภัยแบบไม่มีอะไรเลย ผมออกจากเมืองลาวมายังเมืองไทย มีเงินติดตัวไม่ถึงหมื่นบาทเลย แล้วต้องลี้ภัยมาอยู่ประเทศไทย 3 ปี ซึ่งการเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองในไทยมันทำงานไม่ได้นะ และต้องอยู่แบบผิดกฎหมายด้วย
“มันต้องรอขอการช่วยเหลือจากองค์กรอื่นแล้วก็ได้แบบไม่เยอะหรอก มันใช้ชีวิตลำบาก แม้กระทั่งมาอยู่ฝรั่งเศสก็ลำบาก การปรับตัวอะไรนี่ มันลำบากมาก เราพยายามจะบอกทุกคนเลยว่า ไม่ผิดนะ ที่ทุกคนจะต้องการมีความฝัน และอยากผลักดันสังคม แต่คุณต้องเข้าใจด้วยว่าสิ่งที่ตามมามันลำบาก
“การที่ผมพูดแบบนี้ทำให้ผมโดนเกลียด โดนนักเคลื่อนไหวที่เขาอยู่ต่างประเทศหลายๆ คนเกลียด เพราะพวกเขาต้องการให้ผมปลุกระดมคน แต่ชีวิตมันลำบาก โดนจับด้วย แค่ที่โดนจับ ต้องติดคุก มันก็หนักแล้ว
“และการได้ลี้ภัย คุณต้องเข้าใจด้วยนะ ว่าไม่ใช่พอคุณลี้ภัยมาอยู่เมืองไทย แล้วจะได้สถานะออกมาต่างประเทศ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะได้สถานะ ผมต้องเป็นคนไปช่วยดีลกับองค์กรระหว่างประเทศกับประเทศอื่นๆ ผมทำงานเรื่องพวกนี้จึงรู้ว่ายากมาก เพราะผมรู้กระบวนการของมัน ผมเลยไม่อยากให้ใครต้องมาทำเหมือนผม
“แต่ผมก็จะไม่ห้ามว่าอย่าทำ เราทำได้แต่ต้องระวังตัว ต้องมีวิธี ผมเลยพยายามจะบอกกับทุกคนว่ามันลำบาก แต่ถ้าจะทำมันก็เป็นสิทธิ์ เราห้ามใครไม่ได้ แต่มันลำบาก” เหล่านี้คือประโยคที่โจเซฟอยากทิ้งท้าย