“ดิว อริสรา” เปิดใจทั้งน้ำตาผิดพลาดในชีวิต ยอมรับเลิกรากับลามีกันแล้ว
จากกรณีที่ อริสรา ทองบริสุทธิ์ หรือ ดิว นักแสดงและนางแบบสาวชื่อดังอายุ 35 ปี ถูกทนายความของ วาสนา อินทะแสง หรือ “เมย์” แจ้งความดำเนินคดีในข้อหายักยอกทรัพย์มูลค่า 62 ล้านบาท ล่าสุดหลังดิวมีการประกาศผ่านโซเชียลมีเดียส่วนตัวเกี่ยวกับการจัดงานแถลงข่าวครั้งแรก หลังจากที่บินกลับเมืองไทยอีกครั้ง เพื่อเข้าร่วมงานสวดพระอภิธรรมและฌาปนกิจ “คุณพ่อวิชิต ทองบริสุทธิ์” ครั้งสุดท้าย อีกทั้งถือโอกาสมาร่วมไลฟ์สดครั้งแรกกับ “ไฮโซน้ำหวาน พัสวี” ภรรยาสาวของ “นาวิน ต้าร์” นักแสดงดัง หลังจากผ่านมรสุมชีวิตที่เผชิญในช่วงที่ผ่านมา ทั้งเรื่องการยักยอกทรัพย์และดราม่าอื่นๆ ผ่านโลกออนไลน์ ตามที่ข่าวได้นำเสนอไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อเวลา 13.25 น. วันที่ 20 ส.ค. ที่ร้านข้าวเหนียว ซอยอารีย์สัมพันธ์7 กรุงเทพฯ ดิว อริสรา เปิดใจครั้งแรกหลังกลับมาประเทศไทย โดยดิวเล่าว่า
“เรื่องงานของดิว จริงๆ งานไหนที่ดิวถนัดและทำได้ เราก็เต็มที่อยู่แล้ว รับงานอยู่ค่ะตอนนี้ รูปแบบงานเราไม่ได้เป็นคนเลือกมากอยู่แล้วตั้งแต่แรก ถ้าทุกคนจำได้ในเวอร์ชั่นดิวทำงาน ดิวรับงานทุกแบบอยู่แล้ว ดิวขอบคุณทุกโอกาสและทุกคนที่ติดต่อมา มีคนติดต่อมาเยอะค่ะ แต่โอกาสตอนนั้นเป็นการไลฟ์สดของอะไรต่างๆ ด้วย เพราะเราไม่อยู่ประเทศไทย ดังนั้นถ้าเรากลับมาอยู่ไทย มันจะง่ายขึ้น ดิวได้รับโอกาสและขอบคุณทุกๆ โอกาส ส่วนเรื่องราวที่เกิดขึ้น ดิวก็มีกำลังใจที่คนส่งมา ดิวรู้สึกว่าดิวขึ้นๆ ลงๆ อยู่แล้ว ดิวไม่ได้กลัวกับการเริ่มต้นใหม่ (น้ำตาไหล) เพราะว่าเราไม่ได้เริ่มมาจากศูนย์ เราเริ่มมาจากติดลบ จนวันหนึ่งมีวิกฤติดิวกลับไปติดลบเหมือนเดิม ดิวไม่ได้กลัวในการกลับมาเริ่มต้นใหม่อยู่แล้ว ดังนั้นทุกๆ กำลังใจ มันคือแรงผลักดันให้ดิวมีกำลังใจขึ้นในการอยู่ประเทศไทย ก่อนกลับดิวกลัวมาก (ลากเสียง) ดิวไม่ได้กลัวอะไร ดิวกลัวคน ไม่ว่าจะอยู่ไต้หวันหรือที่ไหน เราก็กลัวคนไทย ตอนเครื่องจะลงเราก็กลัว พอเราเริ่มสัมผัสไปเรื่อยๆ วันแรกดิวก็วัดใจนะ ไปเซ็นทรัลลาดพร้าวเลย ให้เจอคนไปเลย ให้รู้ใจเราไปต่อได้ไหม ดิวมัวแต่ดูโซเชียลจนทำให้เราหลงลืมไปว่าจริงๆ คนไทยเป็นคนน่ารัก ให้กำลังใจ และมีน้ำใจ ดิวเจอช่างหน้าช่างผมคนเดิมๆ แม้กระทั่งพี่นักข่าวดิวก็กลัว แต่พอดิวเจอ มันไม่ได้สายตาแบบนั้น มันอุ่นใจขึ้น อยากอยู่ประเทศไทยเลย ที่คิดไว้กับความจริงมันไม่เป็นแบบนั้นเลย สิ่งที่เราสัมผัสมันตรงข้ามกับความกลัว มันทำให้เราอุ่นใจว่าประเทศไทยก็เป็นบ้านเราเนอะ”
“ที่ผ่านมาสิ่งที่ทำให้ดิวเสียใจมากที่สุดคือตัวดิวเอง ที่ตัวดิวเองทำผิดพลาดทุกอย่าง ดิวไม่โทษใครทั้งนั้น คนอย่างดิวพูดกับตัวเองว่าเมื่อไหร่ดิวจะมีบทเรียนที่จบสักที ดิวไม่อยากพลาดอีกแล้ว ดิวเชื่อว่าคนที่ไม่รักดิวก็ต้องเบื่อที่ดิวเป็นแบบนี้ ดังนั้นสิ่งที่ดิวเสียใจที่สุดก็คือเมื่อไหร่เราจะไม่ผิดพลาดจากเรื่องนี้สักที สำหรับจุดยืนของดิว และคนที่ให้โอกาสดิว ดิวควรพอได้แล้วและควรเข็ดได้แล้ว หนึ่งตอนนี้เราก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง สองใช้ชีวิตให้มีสติขึ้น สามอยู่บนโลกความเป็นจริงมากขึ้น สี่คือมันแก้ที่ตัวเอง ไม่ต้องห่วงว่าดิวแก้ไม่ได้ เพราะดิวเคยขึ้นสุดและลงสุดแล้ว ดังนั้น ณ วันนี้เราไม่ได้ห่วงว่าจะแก้ยังไง ดิวปลงขึ้น เห็นอะไรมากขึ้นในหลายๆ เรื่อง ที่ออกมาพูด ดิวแค่รู้สึกว่าไม่ได้คิดอะไรเลย ดิวมาทำงาน เป็นหน้าที่ที่ต้องทำ ดิวต้องตอบแทนเขา การเจอพี่ๆ นักข่าวเราต้องเจออยู่แล้ว ดิวไม่ได้เกร็งกับการสัมภาษณ์ แต่เกร็งกับสายตาที่ทุกคนจะมองดิวมากกว่า”
“ดิวขอบคุณพี่เมย์ด้วย คนจะเข้าใจว่าเราทะเลาะกัน พี่เมย์น่ารักตลอด พี่เมย์พร้อมจบ เขาเป็นคนดี น่ารักกับดิว เรื่องถอนฟ้องเขาบอกสักทีเถอะ (ยิ้ม) ขอบคุณพี่ชายคนหนึ่งของดิว เรื่องนี้จบได้เพราะเขา ที่ไม่ใช่พี่ไผ่นะคะ ดิวอยากพูดประเด็นนี้ เพราะการเคลียร์ของดิวหรือการกลับมาของดิว มันไม่ใช่ตัวดิว มันมีพี่ชาย น้องชายหลายๆ คนที่รักเราอยู่ เราเลยรักตัวเอง เขาเป็นคนโทรฯ หาหนูเองเลย พี่ชายคนนั้นเขาโทรฯ หาหนูเลย ดิวไม่เคยโทรฯ ไปขอความช่วยเหลือเขา ดิวกลัวคน บวกกับสถานการณ์ที่บีบรัดเรามากๆ เราโทรฯ หาใครจะขยาดเราแน่ๆ เลย แต่แปลกพี่ชายคนนี้ทักมาเพื่อจะช่วย เราเลยอยากพูดถึงเขา แต่อยากให้คนเดาให้เขา เขาไม่ได้ช่วยเรื่องเงิน เขาประสานไกล่เกลี่ยใดๆ ให้ ส่วนเรื่องเงิน จริงๆ คนช่วยคือแบรนด์ดีว่ามากกว่าค่ะ”
ดิว เล่าต่อว่า “เรื่องเงินที่ต้องใช้ คือเรื่องจริงดิวต้องการใช้ 20 กว่าล้านบาท ข่าวที่ออกไปเป็นมูลค่า แต่เงินที่ดิวจะใช้แค่ 20 กว่าล้าน มันไม่ใช่ความผิดของใคร ดิวผิดเอง มันเป็นการใช้เงินเกินตัวด้วยก็อาจจะใช่ และดิวมั่นใจในธุรกิจของดิว เราทำธุรกิจหลายอย่าง ดิวไม่เคยหยุดทำธุรกิจ ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ธุรกิจไม่ได้เป็นไปตามเป้า พอเราคิดว่าเราทำได้ อยากทำก็ตรงนั้นด้วย ชีวิตเรามีหลายมุมแล้วเข้าใจ ไม่ได้อยากให้มองว่าเอาเงินคนอื่นมา แล้วมาซื้อแบรนด์เนมทั้งหมด ไม่มีหรอก มันล้มในหลายๆเรื่องพร้อมกัน และมีภาพบางอย่างที่เราต้องประคองมันไว้ มันยากมากๆ พอมาเป็นวันนี้ การเริ่มต้นใหม่ แบบไม่ต้องประคองภาพบางอย่าง มันก็สบายตัวและสบายใจดี ส่วนยอดที่เหลือ เราไม่ได้หายไปโดยที่ไม่ได้จ่ายใครเลย มันไม่เหมาะสมที่ฉันจ่ายแล้วจะบอกฉันจ่ายแล้ว ดิวไม่ได้มีพลังความมั่นใจในตัวเองขนาดนั้นแล้ว แต่ทั้งหมดทั้งมวลยอดจริงๆคือ 20 ไม่ใช่ 60 แต่ตอนนี้เรามีเคลียร์บางส่วนแล้ว เรื่องใช้หมดเมื่อไหร่ อย่าไปกะเกณฑ์ดีกว่า ดิวอยากให้มันจบอย่างเร็วที่สุดอยู่แล้ว”
“เรื่องครอบครัวเรา(ร้องไห้) ลูกๆก็มีความสุขดีค่ะ ได้เจอ ตอนที่อยู่ต่างประเทศก็อยู่ด้วยกันตลอด ส่วนสามีความสัมพันธ์ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว แบบที่เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ตอนอยู่ไต้หวันเราไม่ได้อยู่บ้านหลังเดียวกัน ที่โน้นเราอยู่กับลูก เราอยู่ตัวคนเดียว ดิวก็อยู่กับลูก ถ้าไม่ได้อยู่ก็คงไม่อยากอยู่แล้ว พูดตรงๆจากใจนะคะ อย่าคิดแบบดิว ถ้าเราไม่มีพลังจากลูกเราก็คงท้อมากๆ ไปแล้ว ดังนั้นการที่ดิวทำไมไม่กลับไปเพราะดิวรู้สึกว่าถ้าอยู่ไทยดิวไม่อยากอยู่แล้ว ดิวขอเวลาไปตั้งหลักหน่อย ดิวไปเติมพลังกับสิ่งตรงหน้าทำไมดิวยังต้องอยู่ต่อนะ ลูกๆยังไม่รู้อยู่ที่โน้นเป็นหลักไหม เขาพูดแบบนั้น แต่ใจเราอยากอยู่กับลูกของเรา ตอนนี้ไม่ได้อยากให้ไปโจมตีเขา(สามี)นะ เพราะสุดท้ายแล้วเขาคือพ่อของลูกดิว เขาก็พยายามทำในรูปแบบพ่อของลูกให้ดีที่สุดแหละ แม้ตัวดิวจะว้าเหว่ ถ้าลูกๆดิวมีความสุขและอนาคต ดิวยอมเสียสละได้ทุกอย่างแหละ”
“เรื่องการเข้าไปกองปราบฯ ข่าวที่ออกไป ดิวบอกนักข่าวที่ดิวสนิทว่า บางทีไม่ได้ไปไกลขนาดนั้น พอข่าวออกไป บางอย่างกระทบกับดิวมากเหมือนกัน ดิวสู้หน้าบ้านและหลังบ้าน บางทีข่าวออกไป มันไม่ตรงกับเรื่องจริงขนาดนั้น จากลูกดิวจะมางานศพพ่อดิว กลัวไม่ได้มา จากจะมาสองเป็นมาหนึ่ง คือดิวอยากให้เห็นใจดิวนิดหนึ่ง ว่าสิ่งที่ดิวเจออยู่มันทุกๆทาง ขอพี่ๆสื่อมวลชนอะไรที่ทำออกไป มันทำให้คนไม่รู้เรื่องจริงเขากลัว ดิวต้องไปดักและบอกคนพวกนั้น การที่ออกมาชี้แจงช้า ส่วนที่บางคนอาจจะคิดว่าดิวจะหนี คือถ้าหนีดิวคงไม่ออกมาไลฟ์ขายของหรอก พอดิวกำลังจะฮึดสู้พ่อดิวก็มาเสีย เหมือนจังหวะมันไม่มีโอกาสให้เราได้ออกมาสักที มันหลายอย่าง ในเวลาที่ดิวอยากกลับมา พ่อดิวเสีย ตอนนั้นดิวอยู่บนความกลัว ดังนั้นไม่ใช่หนี แต่มันคือเราแค่ตั้งหลัก และพยายามทลายความกลัวให้กล้ากลับมา แต่เราเผชิญความเป็นจริงตลอด เราแก้ไขตลอด อย่าเข้าใจว่าสงสารเจ้าหนี้ แต่สงสารเขาได้เลย แต่เราไม่ได้ไม่ทำอะไร คือเราก็พยายามทำทุกวินาทีของเราให้ดีที่สุดเช่นกัน ที่หลายคนคิดว่าเราไม่หนีและพร้อมพุ่งชนปัญหา คือข้อความจากทุกคนหนูไม่ได้อ่านอะไรเลย อ่านคำพูดต่างๆเราไม่อ่านอยู่แล้ว ขนาดกำลังใจยังไม่ได้อ่านเลย เราอ่านแล้วเศร้า ทำหน้าที่แม่อยู่ มันไปต่อไม่ได้ ดังนั้นคือเลยไม่รู้เลย พอรับเข้ามาในใจมันเศร้า แต่ละวันที่อยู่ต่อหน้าลูก มันทำหน้าที่แม่ที่มีความสุขได้ยากค่ะ”
นักแสดงสาว เล่าต่อว่า “เรื่องที่เกิดขึ้น ดิวคิดว่าดิวคงไม่ได้กลับมาเป็นดิว อริสรา แบบเดิมหรอก ณ วันนี้เราไม่ได้มีความมั่นใจขนาดนั้น แต่เราก็พยายามทำตัวเราให้ดีขึ้นกว่าเดิม มันต้องเป็นดิว อริสราที่ดีกว่าเดิม ถ้ารักเราจะรักในแบบที่เราเป็น เห็นเราเติบโตจากพฤติกรรมของเรา ไม่ได้อายุของเราด้วย เราเปลี่ยนแปลงนะ เราอยากทำให้เขาไม่ผิดหวัง มุมมองวงการบันเทิงคือใครให้โอกาสดิว ตัวดิวรับโอกาส เหลือพื้นที่แค่ไหนให้ดิวยืน ดิวยืนอยู่แล้ว ดิวไม่เคยไปไหนอยู่แล้ว ตอนนี้กลับไปไหนไหม คือพอหนูกลับมาที่นี่คือบ้านหนู ถ้าทุกอย่างคลี่คลายขึ้น ประเทศไทยยังไงก็คือบ้านเราค่ะ กับพี่เมย์ถ้ามีโอกาสก็ได้เจอกันอยู่แล้ว เขาน่ารักมากๆ หนูโทรไปเขารับและเราก็คุยกัน มีอะไรเขาก็โทรมา หลายอย่างไม่ได้เป็นตามที่ใครๆพูด พี่เมย์ส่งข้อความมาหาดิว พี่ดีใจนะดิว คือเขาน่ารัก สู้ๆนะน้องมันกำลังจะผ่านไปแล้ว หนูยังคุยกับพี่เมย์เมื่อวานนี้นะ พี่เมย์น่ารักกับหนูนะ ทำไมคนถึงพูดถึงพี่เมย์แบบนั้น แต่พี่เมย์ก็บอกว่าไม่เป็นไร จริงๆบางสิ่งบางอย่าง พอถูกถ่ายทอดจากคนที่ไม่ใช่คนๆนั้น หรือผ่านๆกันไป มันก็เปลี่ยน ซึ่งพี่เมย์เป็นคนน่ารัก เขาจะบอกมันจะจบแล้ว มันจะผ่านแล้ว ทำมาหากินกัน เริ่มต้นกันใหม่ ฮึบ เขาเป็นคนแบบนี้”
“เหตุการณ์นี้สอนอะไรดิวเยอะเลยค่ะ สอนให้เห็นตัวเอง ว่าคนเป็นยังไง เห็นใครๆว่าเป็นยังไง เห็นทุกๆอย่าง ชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน บางสิ่งบางอย่าง คนๆนั้นเป็นพลังของดิว กลับมาเจอพี่ช่างแต่งหน้าและช่างทำผม มันก็เป็นกำลังใจแค่นั้นแหละ พอมาเจอคนความกลัวลดลงเยอะ และอยากอยู่ประเทศไทยขึ้น ไม่ได้อยากไปไหนแล้ว ดิวผิดพลาดก็พร้อมปรับปรุง เมื่อวานไปเดินบรรทัดทอง ก็ยังมีคนมากอด เข้ามาถ่ายรูป เข้ามาให้กำลังใจ อยากให้น้ำกินฟรี พอเราได้รับพลังแบบนี้ ทำให้เห็นว่าคนไทยก็คือคนไทยจริงๆ พอเราโดนอะไรหนักๆ เราลืมว่าคนไทยเป็นคนยังไง จนทำให้เรากลัวไปหมด พอเรากลับมารับความรู้สึกนั้นแล้ว มันทำให้เราใจฟูขึ้น กล้าอยู่ขึ้น กล้าทำอะไรขึ้น อยากขอบคุณทุกๆคนในชีวิตเลย ขอบคุณทุกๆคนผู้ใหญ่ทุกๆคนๆ พี่ๆที่อยู่กับหนู ขอบคุณพี่ๆนักข่าว ช่างหน้า ช่างผม ขอบคุณครอบครัวของดิว และขอบคุณครอบครัวสามีเก่าอยู่ด้วย ที่ก็ยังให้เราเจอลูกและอยู่กับลูกด้วย ดังนั้นขอบคุณกำลังใจมากๆจริงๆค่ะ”
ทนายของดิว เผยว่า “เรื่องรูปคดีที่ศาลแขวงปทุมวัน ได้มีการนัดหมายเราก็มีการเคลียร์ยอดครึ่งหนึ่งให้กับเจ้าของร้านไปแล้ว และมีการตกลงกับว่าจะทำบันทึกทางแพ่งกันและถอนฟ้อง คิดว่าพรุ่งนี้หรือวันนี้น่าจะจบในส่วนนี้ สำหรับกระเป๋าสองใบ ยุติตามที่เราเสนอไป เจรจาเบื้องต้น มีการพูดคุยกัน น่าจะจบพรุ่งนี้หรือมะรื้นนี้ยังไม่แน่ใจ นัดเจอกันที่กองปราบฯ เพื่อส่งสร้อยบูการี่และกระเป๋า 2 ใบคืนให้คุณเมย์ ส่วนการถอนฟ้องเมย์มีเจตจำนงตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เมย์เห็นใจยอดเยอะ ก็ให้โอกาสคุณดิว ถ้าทุกอย่างเคลียร์จบ ก็ถอนฟ้อง ส่วนสร้อยคุณเมย์ก็จะช่วย คือคุณดิวก็ยอมรับสภาพหนี้ต่อไป ซึ่งทุกอย่างจะได้จบ คุณดิวจะได้สร้อยไป ส่วนยอดทั้งหมดมันแยกหลายส่วน สร้อยมรกตโลตัสก่อนหน้านี้ ผ่อนชำระส่วนแล้ว ยอดรวมก็ 20 ล้าน มีการผ่อนชำระบางส่วนแล้ว ทั้งนาฬิกาที่ส่งมอบไปครั้งก่อน ส่วนกองปราบฯผมทราบจากข่าวว่าจะมีการออกหมายเรียก เบื้องต้นทาง ดิวเองไม่ได้รับหมาย แต่ไม่ว่าจะมีหมายเรียกหรือไม่มีเราก็ยินดีให้ข้อมูลอยู่แล้ว ผมก็คุยกับเจ้าของสำนวนตลอดว่าสถานการณ์อยู่ประมาณไหน จากที่เห็นเราก็ไปเคลียร์กันเมื่อวาน 19 ส.ค. ผมคุยกับเจ้าของสำนวนแล้ว ทุกอย่างน่าจะจบก่อนที่สำนวนไปไกลกว่านี้ ส่วนเรื่องข่าวลือว่านักร้องเจ้าหนี้คนใหม่ให้ดิวยืม 20 ล้านนั้น ผมเพิ่งทราบ และรวบรวมข้อเท็จจริงก่อน ยังไม่รู้ข้อมูลเชิงลึก มันไม่ใช่ตามนั้น เท่าที่ทราบเบื้องต้น เดี๋ยวผมจะคุยอีกที ขอรวบรวมก่อน เดี๋ยวแจ้งอีกทีครับ”