Lost in DOMLAND ตัวตนอีกด้านของ โน้ส-อุดม แต้พานิช กับงานอาร์ตที่หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ
“งานตลกเลี้ยงชีพ งานอาร์ตเลี้ยงจิตวิญญาณ”
คำสารภาพของ โน้ส-อุดม แต้พานิชในนิทรรศการ Lost in DOMLAND ณ The Pinnacle Hall ชั้น 8 ICONSIAM กับตัวตนอีกด้านที่เต็มไปด้วยความสงบเยือกเย็น ลึกซึ้ง และจริงจังกว่าที่คุณเคยเห็นและสัมผัส ในฐานะ ‘ศิลปิน’ ที่สรรค์สร้างงานศิลปะนับพันชิ้นตั้งแต่เล็กจนโต
ปฏิเสธไม่ได้ว่าตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ชื่อของโน้ส อุดมมักถูกจดจำจากสาธารณชนในฐานะนักแสดง นักเขียน คนเล่นตลก ไปจนถึงผู้มอบความสุขและสร้างเสียงหัวเราะให้กับคนไทยมาอย่างยาวนาน ในการแสดงตลก Stand Up Comedy อย่าง ‘เดี่ยวไมโครโฟน’ ที่ทันยุค ทันสมัย และยืนหนึ่งด้านคอนเทนต์มาโดยตลอด
แต่หากถอดมาสคอตความเป็นครีเอเตอร์และก้าวลงจากเวที โน้สคือศิลปินโดยธรรมชาติ เป็นผู้ถ่ายทอดความคิดและความรู้สึกผ่านสีสัน รูปร่าง พื้นผิว และจินตนาการอย่างไร้ขอบเขต ผ่านศิลปะที่เปรียบเหมือนการหายใจ พื้นที่เยียวยา เพื่อนสนิท และการเดินทางทางความคิดในวันที่ยากลำบากของชีวิต โดยไม่สนสายตาใคร เรียกร้องความสนใจ ทำตัวตลก หรือตอบคำถามใครว่า ‘ทำไปทำไม’ ทั้งนั้น
“ตอนทำเดี่ยวเหมือนทำอาหารไปเสิร์ฟคนอื่น มีทั้งวีแกน คนไม่กินหมู ไม่ใส่ผงชูรส แต่ทำงานศิลปะไม่ต้องคิด เรื่องนี้ใช้ความรู้สึก” อุดมอธิบายความรู้สึกของเขาผ่านสารคดีความยาว 20 นาที แต่กลับทำให้เข้าใจตัวตนของเขามากกว่าการเห็นในหน้าสื่อ
‘ประตูระหว่างโลกของเด็กกับผู้ใหญ่’
คือนิยามของนิทรรศการ Lost in DOMLAND พื้นที่เดียวที่ทุกคนจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปทำความรู้จักกับโลกอีกใบของอุดม โดยหน้างานแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ จุดจำหน่าย Merchandise พร้อมของน่ารักที่ระลึกอย่างกล่องสุ่ม ‘น้องดม’ ใส่ชุดนักเรียน ขณะที่ส่วนถัดมาคือ Pop-up Café Domland x Oh My Godmother ที่จำหน่ายขนมและเครื่องดื่มสุดอร่อย และส่วนสุดท้ายคือ จุดนิทรรศการที่ต้อนรับทุกคนด้วยซุ้มประตูสีเขียวสว่างตา ซึ่งเป็นแบ่งทั้งหมดออกเป็น 13 ห้องด้วยกัน
ทันทีที่เดินเข้าสู่ห้องแรกหรือ ‘ห้อง Nadom’ จะพบประติมากรรมขนาดใหญ่ สูงเท่าเพดานห้องหรือ ‘น้าดม’ มาสคอตตัวเหลือง สวมหมวกเขียว แว่นน้ำเงิน พร้อมชุดนักเรียนที่เราคุ้นเคยกันดี โดยมีเหล่า ‘มินิน้าดม’ หรือลูกโป่งที่คลับคล้ายคลับคลาตัวละครมินเนียนจากภาพยนตร์ Despicable Meลอยไปลอยมา ชวนให้ผู้คนหยิบถ่ายรูปหรือโยนเล่นได้ตามใจชอบ
ขณะที่ห้องที่ 2 คือ ‘ห้อง Sketch’ เต็มไปด้วยงานศิลปะของอุดมในวัยเยาว์ เปรียบเหมือนสารตั้งต้นพัฒนาการทางความคิดและจิตวิญญาณของการสร้างสรรค์ โดยจะเห็นถ้อยคำหรือรูปภาพระบายความในใจที่ติดอยู่บนผนัง พื้น เพดาน บ้างถูกลบ บ้างถูกเขียนเพิ่มเติม ละเลงด้วยสีสัน
เมื่อเดินเลี้ยวขวาก็จะเข้าสู่ห้องที่ 3 หรือ ‘ห้องผลงานปีลึก’ จัดแสดงผลงานศิลปะของอุดมตั้งแต่เด็กจนถึงวัยรุ่น เผยให้เห็นความสร้างสรรค์สุดขั้ว เช่น การหยิบสิ่งของเครื่องใช้มาประดิษฐ์เป็นงานศิลปะ ภาพวาดแก๊กการ์ตูน หรือภาพเลียนแบบการ์ตูนแห่งยุคอย่าง ‘ขายหัวเราะ’
ขณะที่โซนข้างๆ ไม่มีกำแพงกั้น ห้องที่ 4 อย่าง ‘ห้อง Sushi สายพาน’ ที่แค่ได้ยินชื่อทำให้ใครหลายคนน้ำลายสอ แต่นี่คือโซนผลงานประติมากรรม ซึ่งสร้างตั้งแต่ปี 2016 และใช้เหล็กเป็นวัสดุหลัก โดยจุดประสงค์ของการจัดแสดงคือ การทำให้ผู้ชมมองเห็นชิ้นงานที่เคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ ถือเป็นการเปิดประสบการณ์ และสัมผัสในการสังเกตรายละเอียดของงานแต่ละชิ้น
และสำหรับใครที่เป็นคอเดี่ยวฯ ต้องไม่พลาดกับห้องที่ 5 หรือ ‘ห้องเดี่ยว 13’ รวบรวมผลงานหลากสีที่เป็นฉากหลังบนเวทีเดี่ยว 13 ซึ่งโดยปกติ เราอาจจะไม่ได้สังเกตมากนัก แต่ในห้องนี้สามารถเดินดูรายละเอียดของงานได้ตามใจชอบ เช่น ขาของมาสคอตที่มีรองเท้าหลุดออกมา โดยงานที่ดึงดูดมากที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘ประติมากรรม’ มาสคอตทหารติดยศหลากหลาย
เปลี่ยนมู้ดเปลี่ยนอารมณ์แบบดาร์กๆ ในห้องที่ 6 คือ ‘ห้องโชว์ Bronze มอเตอร์โชว์’ ห้องที่มีประติมากรรมทองสำริดสีดำสนิทวางอยู่บนแท่น โดยมีจุดเด่นคือ สี น้ำหนัก มิติของมาสคอตจะต่างกันตามแสง และการเคลื่อนไหวของแท่น ขณะที่เทคนิคงานศิลปะของโน้สได้ยกระดับมาอีกขั้นผ่านการ ‘เซาะร่องบนไม้’ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อันน่าจดจำในการผลิตงาน
ถ้าหากใครคิดถึงเจ้าดมด็อก มาสคอตตัวใหญ่จากเวทีเดี่ยว 7 ที่อยู่ในร้านIberry Garden Chiangmaiห้องที่ 7 (ตามชื่อเดี่ยว 7) นำมันมากลับมาอีกครั้ง พร้อมกับตั้งในหลายท่าทาง ทั้งนอน นั่ง ยืน ขณะที่ห้องที่ 8 ซึ่งอยู่ข้างๆ คือ ‘ห้อง Kaleidoscope’ เป็นห้องอุโมงค์สามเหลี่ยม มี ‘ดมด็อก’ ขนาดใหญ่ยืนอยู่ พร้อมกับ Kaleidoscope ที่หมุนวนและเปลี่ยนจังหวะตามสีดนตรี โดย ประดิษฐ์ ตั้งประสาทวงศ์ ศิลปินชั้นเยี่ยมลำดับที่ 24 ของประเทศไทยในสาขาจิตรกรรม หนึ่งในผู้บรรยาย Gallery Tour ตีความไว้ว่า Kaleidoscope นี้คือสิ่งที่อยู่ในหัวของอุดมตลอดเวลา ซึ่งเขาอยากจะนำมามันถ่ายทอดให้ทุกคนได้รับรู้
ไม่ถึง 10 ก้าว ขาก็อยู่ใน ‘ห้องเทพทำใจ’ เป็นห้องหรูหราติดแกลม ซึ่งได้รับแรงบันดาลจากความไม่สมหวังของอุดม เพราะขอพรเทพทันใจ แต่ไม่เป็นดังใจ จึงตัดสินใจสร้างเทพทำใจขึ้นมาเตือนตัวเอง โดยมาสคอตเป็นสีทอง มีกล้วยบริเวณหัว ขณะที่มีโคมไฟรูปกล้วยสุดหรูหราข้างบนเพดาน เพื่อย้ำเตือนว่า ทุกอย่างในชีวิตเป็นเรื่องกล้วยๆ ด้วย ซึ่งท่านเทพทำใจเคยปรากฏใน เดี่ยว Special Supersoft Powerใน Netflix มาก่อน
ยังคงไม่ทิ้งธีมความติดแกลม เพราะห้องที่ 9 ยังโชว์ประติมากรรมเคลือบทองคำต่อ โดยใช้เทคนิคลงรักปิดทอง ขณะที่ห้องข้างๆ เป็นมุ้งสีดำ หรือห้องฉายวิดีโอ ความในใจของอุดมในฐานะศิลปะกับ เอ๋ นิ้วกลม ที่เจาะลึกหลังม่านชีวิตของนักแสดงตลก ต่อการทำงานและมุมมองศิลปะ พร้อมที่นั่งให้นอนดูอย่างสบายใจเฉิบ
(เกือบจะ) โซนสุดท้ายคือ ‘ห้องพรมชมพู’ ซึ่งก่อนจะเข้าห้องนี้ พี่ๆ พนักงานใจดีจะขอให้เราถอดรองเท้าใส่กระเป๋าสีเขียวก่อน เพื่อไม่ให้เปื้อนพรมสีชมพูสะอาดตาที่ปูยาวคลุมห้อง โดยลักษณะเด่นของงานศิลปะห้องนี้คือ เป็นภาพถักทอด้วยเส้นด้ายและไหมพรม ทำให้เราถึงกับทึ่งว่า ผู้ชายคนนี้ทำอะไรไม่เป็นบ้าง โดยมี Easter Egg เล็กๆ น้อยๆ ที่อยากชวนให้ทุกคนสังเกตคือ เหรียญรูป ‘คุณนายทองสุข’ หรือ สมจิต แต้พานิช มารดาผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของอุดม
ปิดท้ายกันที่ ‘ห้องมาสเตอร์พีซ’ ที่วางเรียงรายภาพวาดบนแคนวาสเผยให้เห็นสี เส้น เทคนิค รูปทรงที่เราไม่ค่อยเห็นเท่าไรกันนัก แต่เป็นลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ของศิลปินอุดม ซึ่งจริงๆ แล้ว ประดิษฐ์และวชิระ ก้อนทอง อาจารย์ประจำหมวดวิชาวาดเส้น วิทยาลัยช่างศิลป และศิลปินผู้ชนะรางวัล UOB Painting of the Year ครั้งที่ 12 ให้คำนิยามไว้ว่า นี่คือศิลปะแบบ ‘สุขนิยม’ (Hedonism) ที่ไม่ต้องหาคำตอบ ไม่ต้องตั้งคำถาม แค่มีความสุขเมื่อได้ดูก็พอ เหมือนกับเจตจำนงในการสร้างงานของศิลปิน