ของแรร์ "ปูเจ้าฟ้าสีม่วง" อวดโฉมพะเนินทุ่ง ก่อนปิดป่าแก่งกระจาน
ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนที่ "พะเนินทุ่ง" จุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักเดินทางผู้รักธรรมชาติในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จะปิดทำการเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศตามฤดูกาล ธรรมชาติได้มอบของขวัญอันล้ำค่าทิ้งทวนไว้
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้โพสต์ Facebook ภาพปรากฏการณ์อันน่าทึ่งและหาชมได้ยากยิ่ง นั่นคือการปรากฏตัวของ "ปูเจ้าฟ้า" หรือ"ปูสิรินธร" สีขาว-ม่วงที่งดงามราวกับอัญมณีมีชีวิต
การเผยโฉมของปูเจ้าฟ้าครั้งนี้ เปรียบเสมือนการอำลาผืนป่าอย่างสง่างาม ก่อนที่อุทยานฯ จะประกาศปิดการท่องเที่ยวและพักแรมบนเขาพะเนินทุ่ง
ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม ถึง 31 ตุลาคมของทุกปี เพื่อให้ธรรมชาติได้พักฟื้นอย่างเต็มที่
ดัชนีชี้วัดแห่งผืนป่ามรดกโลก
นายมงคล ไชยภักดี หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เปิดเผยว่า
เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ประจำจุดบริการนักท่องเที่ยวเขาพะเนินทุ่ง คือผู้โชคดีที่ได้พบและบันทึกภาพความงดงามของปูเจ้าฟ้าในครั้งนี้ไว้ได้
การปรากฏตัวของปูเจ้าฟ้าไม่ได้เป็นเพียงการพบเจอสัตว์หายากเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญถึง ความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
ซึ่งเป็นผืนป่ามรดกโลกที่มีความหลากหลายทางชีวภาพอันล้ำค่า การที่สัตว์ป่าคุ้มครองสายพันธุ์นี้สามารถดำรงอยู่ได้ แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ป่าแห่งนี้ยังคงมีคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีเยี่ยม
ความงามอันเป็นเอกลักษณ์และเกียรติยศแห่งนาม
"ปูเจ้าฟ้า" มีลักษณะทางกายภาพที่โดดเด่นจนเป็นที่จดจำ ด้วยสีสันที่น่าอัศจรรย์ กระดองและก้ามทั้งสองข้างมีสีขาวบริสุทธิ์ราวกับงาช้าง
ในขณะที่ขาเดินทั้งสี่คู่ เบ้าตา และบริเวณปากกลับเป็นสีม่วงเข้มอมดำ เมื่อโตเต็มวัยจะมีขนาดกระดองกว้างประมาณ 9-25 มิลลิเมตร
ยิ่งไปกว่าความงดงาม คือที่มาของชื่ออันเป็นมงคล ปูชนิดนี้ได้รับพระราชทานพระราชานุญาตให้อัญเชิญพระนามาภิไธยของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นชื่อวิทยาศาสตร์
เพื่อเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2531
การปรากฏตัวของปูเจ้าฟ้า ณ พะเนินทุ่งในครั้งนี้ จึงเป็นมากกว่าการพบสัตว์หายาก แต่เปรียบเสมือนเสียงกระซิบจากผืนป่า
ที่คอยย้ำเตือนถึงคุณค่าอันประเมินมิได้ของความหลากหลายทางชีวภาพ และตอกย้ำถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ เพื่อให้ "อัญมณีแห่งพงไพร" เหล่านี้ยังคงอยู่คู่ผืนป่ามรดกโลกของไทยสืบต่อไป