ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดลบ ทรัมป์ขึ้นภาษีรอบใหม่ ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนทั่วโลก
ตลาดหุ้นเอเชีย ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 ซึ่งถือเป็นช่วงขาลงยาวที่สุดของปี 2568 หลังทรัมป์ขึ้นภาษีรอบใหม่ ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนทั่วโลก นักลงทุนจับตาตัวเลขการจ้างงานสหรัฐ และทิศทางนโยบายดอกเบี้ยเฟด
วันที่ 1 สิงหาคม 2568 ตลาดหุ้นเอเชีย ยังคงอ่อนแรงติดต่อกันเป็นวันที่หก ซึ่งถือเป็น ช่วงขาลงยาวนานที่สุดในปีนี้ ท่ามกลางความกังวลเรื่องนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และแรงหนุนจากผลประกอบการแข็งแกร่งของบริษัทยักษ์ใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยีไม่สามารถพลิกทิศทางตลาดโดยรวมได้
ดัชนี MSCI Asia Pacific ลดลง 0.5% โดยตลาดเกาหลีใต้เป็นผู้นำในการปรับตัวลดลง ขณะที่สัญญาซื้อขายล่วงหน้าของดัชนี S&P 500 ลดลง 0.3% และสัญญายุโรปล่วงหน้าร่วง 0.4%
ทำเนียบขาวแถลงว่า ทรัมป์จะ คงอัตราภาษีนำเข้าทั่วโลกขั้นต่ำไว้ที่ 10% และจะเก็บภาษีในอัตรา 15% หรือสูงกว่าสำหรับประเทศที่มีดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐ โดยอัตราใหม่นี้รวมถึง
- 25% ต่อสินค้าส่งออกจากอินเดีย
- 20% สำหรับสินค้าไต้หวัน
- 39% สำหรับสินค้าจากสวิตเซอร์แลนด์
- 30% สำหรับแอฟริกาใต้
- 19% สำหรับไทยและกัมพูชา ที่มีรายงานว่าได้บรรลุข้อตกลงนาทีสุดท้ายกับสหรัฐฯ
ค่าเงินดอลลาร์ยังทรงตัวในวันศุกร์ หลังจากแข็งค่ามากที่สุดในรอบปีในเดือนกรกฎาคม ฟรังก์สวิสอ่อนค่าลงเล็กน้อย ส่วนดอลลาร์แคนาดาทรงตัว และค่าเงินบาทยังคงอ่อนค่าเล็กน้อยเช่นกัน
การประกาศภาษีรอบใหม่ครั้งนี้ ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มกังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจ ซึ่งเริ่มบดบังความตื่นตัวเกี่ยวกับการเติบโตของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่เคยเป็นแรงหนุนหลักของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่
ชารู ชานานา นักกลยุทธ์การลงทุนจาก Saxo Markets ระบุว่า “ประกาศภาษีใหม่นี้แม้จะให้ความชัดเจนในเชิงตัวเลข แต่กลับเพิ่มความไม่แน่นอนเชิงนโยบาย ตลาดรู้ตัวเลขภาษี แต่ยังไม่เห็นกรอบนโยบายที่ชัดเจนหรือสม่ำเสมอ ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจวางแผนได้ยากยิ่งขึ้น”
แม้ผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่จะออกมาดี แต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงร่วงในวันพฤหัสบดี โดย Microsoft แตะมูลค่าตลาดกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่หุ้น Apple ปรับตัวขึ้นในการซื้อขายหลังตลาด หลังรายได้สูงกว่าคาด แต่ Amazon ปรับตัวลงหลังแนวโน้มธุรกิจไม่เป็นไปตามคาด
ในวันเดียวกัน ทรัมป์ยังได้ ส่งจดหมายถึงผู้บริหารบริษัทยา 17 แห่งทั่วโลก เรียกร้องให้ลดราคายาในสหรัฐฯ ให้เทียบเท่ากับระดับราคาของประเทศอื่น ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มเภสัชกรรมปรับตัวลดลงประมาณ 2% ในหลายบริษัท
ขณะเดียวกัน ยังมีรายงานว่าทรัมป์กำลังหารือกับผู้บริหารธนาคารหลายแห่ง เพื่อหาแนวทางในการ นำหุ้นของ Fannie Mae และ Freddie Mac บริษัทสินเชื่อบ้านภาครัฐ ออกเสนอขายต่อสาธารณะ (IPO) ซึ่งอาจเปลี่ยนโฉมโครงสร้างตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ
สายตาของนักลงทุนจะหันไปจับตารายงานการจ้างงานเดือนกรกฎาคมของสหรัฐฯ ซึ่งจะเปิดเผยในวันศุกร์นี้ โดยนักวิเคราะห์คาดว่าตลาดแรงงานจะเริ่มเย็นลงจากเดือนมิถุนายน และ อัตราการว่างงานอาจเพิ่มขึ้นเป็น 4.2%
ข้อมูลเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ใช้เป็นหลัก ได้แก่ ดัชนี Core PCE (Personal Consumption Expenditures) ระบุว่า ราคาสินค้าเพิ่มขึ้น 0.3% จากเดือนก่อนหน้า และ 2.8% เมื่อเทียบรายปี สะท้อนว่าภาวะเงินเฟ้อยังคงยืดเยื้อ และสนับสนุนการตัดสินใจของ Fed ที่คงอัตราดอกเบี้ยไว้ในการประชุมล่าสุด
อ้างอิง : bloomberg.com