หุ้นไทย เปิดพุ่ง 12 จุด รับข่าวปิดดีลภาษีสหรัฐฯ 19 %สิ้นปีลุ้น 1,350 จุด
หุ้นไทย เปิดพุ่ง 12 จุด รับข่าวปิดดีลภาษีสหรัฐฯ 19 %นักวิเคราะห์ชู 2 ธีมลงทุน สิ้นปีลุ้น 1,300-1,350 จุด ตัวแปร การเมืองเปลี่ยนขั้ว
วันที่ 1 ส.ค.2568 ตลาดหุ้นไทยเปิดการซื้อขายดัชนีปรับตัวขึ้นแรงทันที 12 จุด ตอบรับข่าวประธานาธิบดี โดนัลด์ทรัมป์ ของสหรัฐฯเซ็นคำสั่งบริหาร (Executive Order) ประกาศอัตราภาษี Reciprocal Tariff ใหม่ โดยของไทยมีอัตราที่ 19% (ใกล้เคียงกับคู่แข่งที่ 19-20%) มีผลตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. 2568 เป็นต้นไป
บล.เอเซียพลัส มองเป็น POSITIVE SURPRISE เล็กน้อยที่อัตราภาษีตอบโต้ของบ้านอยู่ในระดับต่ำกว่าเวียดนาม (20%) ลาวและพม่า (40%) คาดลดความกังวลต่อผลกระทบภาคส่งออกทรุดหนัก (กรณีไม่ถูกลดภาษี)รวมถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)
หากมองในมุมผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระดับอัตราภาษีตอบโต้ที่ 19% ถือเป็นระดับใกล้เคียงกับทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินไว้โดยภายใต้สมมติฐานไทยถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ (RECIPROCAL TARIFF) 18% (ครึ่งหนึ่งของที่เคยประกาศไว้ ณ วันที่ 2 เมษายน 2568) และจีนถูกเรียกเก็บ 30% ขณะที่ประเทศอื่นถูกเรียกเก็บ 10% คาดการณ์ว่า จีดีพีไทยปี 2568 จะเติบโต +2.3%
ระดับอัตราภาษีตอบโต้ดังกล่าวที่ไทยดูไม่ได้เสียเปรียบมากนัก คาดลดแรงกดดันต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ขยายตัวต่ำกว่า 2% ซึ่งจะทำให้โอกาสเกิด TECHNICAL RECESSION (GDP GRWOTH ลดลง 2 ไตรมาสติดต่อกัน) ในปีนี้ลดลงตามไปด้วย
กลยุทธ์การลงทุนหลังจากที่รู้ตัวเลข TRADE TARIFF ของไทยที่ 19% ใกล้เคียงประเทศเพื่อนบ้าน ฝ่ายวิจัยฯคาดว่า SET INDEX ระดับปัจจุบันน่าทยอยสะสมหุ้นเพิ่มเติมจาก 2 เหตุผลหลักๆ ดังนี้
- เปรียบเทียบผลตอบแทนตลาดหุ้น (YTD)จะพบว่าตลาดหุ้นไทย -11.3%(YTD)LAGGARD กว่าประเทศที่ถูกภาษี 19% อาทิ มาเลเซีย -7.9%(YTD) ฟิลิปปินส์-4.2%(YTD) อินโดนีเซีย +5.7%(YTD) และถูกเวียดนาม +18.6%(YTD) ทิ้งห่างอยู่มาก (20%)
- หุ้นไทยขึ้นแบบกระจายตัวไม่ได้กระจุกตัวเหมือนครั้งก่อน โดยจะเห็นได้ว่า SET INDEX ในครั้งนี้ทยอยปรับตัวขึ้น (23 มิ.ย. - 31 ก.ค.) ซึ่งมีจำนวนหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นการบ่งบอกของการปรับตัวขึ้นของ SET ที่แข็งแรง ไม่เหมือนในอดีต (20 มี.ค.-8 พ.ค.) ที่แม้ SET จะปรับตัวขึ้น แต่จำนวนหุ้นที่ปรับขึ้นนั้นกระจุกตัว ซึ่งมักตามมาด้วยการปรับฐานของดัชนีได้ง่ายกว่า
ด้วย 2 เหตุผลข้างต้น ประกอบกับ ดัชนีที่ระดับปัจจุบันมี VALUATION เด่นพร้อมกับการเติบโตของ EPS GROWTHในปีนี้ถือเป็นจังหวะสะสมที่ดีในการสะสมหุ้นไทยโดยขอแบ่งกลยุทธ์การลงทุนเป็น 2 ธีมหลักๆ ดังนี้
- หุ้น SET 100 กลุ่ม TARIFF PLAY ที่ราคาปรับฐานลงมาลึกตั้งแต่ต้นปี(YTD) อาทิ นิคม(AMATA, WHA) ส่งออก(ITC, STGT, STA, TU, CPF, BTG, TFG)
- หุ้นกลุ่มได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนค่า + ลดดอกเบี้ย อาทิ BH, BDMS, ERW, CENTEL, MTC, SAWAD
นายปิยะทัศน์ พาโสมนัสสกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ และหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยฟื้นกลับมาจากความคาดหวังของนักลงทุนต่างชาติว่าจะมีการเปลี่ยนขั้วการเมืองและจะมีการปรับการใช้จ่ายงบประมาณ และคาดหวังนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
โดยเห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงหากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลง จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา
นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่มีส่วนลด(Discount )ลงมามาก Forward P/E 13-15 เท่า มากกว่า -1 SD จากที่เคยปรับตัวอยู่ ต่ำสด 1,054 จุด เกือบ -2SD แม้ว่าหุ้นไทยโตต่ำ
ครึ่งปีหลัง บล.ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น ปรับมุมมองตลาดหุ้นไทย จาก Neutral เป็น Slightly Overweight โดยให้เป้าหมายสิ้นปี 2568 กรณี Best Case (เปลี่ยนขั้วการเมือง) ดัชนี SET จะอยู่ที่ 1,300-1,350 จุด
คำแนะนำการจัดพอร์ตลงทุนครึ่งปีหลัง ถือกองทุนหุ้นโลก 30-40% ซึ่งมีหุ้นสหรัฐฯ เป็นส่วนใหญ่ , ตราสารหนี้คุณภาพสูง 20% , ตลาดหุ้นอินเดีย 10% เวียดนาม 5% , จีน 5-10% , เกาหลีใต้ 5% , ไทย 5% และทองคำ 10% มองว่าราคามีโอกาสจะไปถึง 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์