พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ : ก่อนจะเข้าฤดูการเลือกผู้ว่าฯกทม.
การเปิดตัวของมาดามแป้งว่าสนใจสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครในครั้งหน้า
รวมทั้งข่าวความวุ่นวาย (เล็กๆ) ในสภากรุงเทพมหานครในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่การเปลี่ยนตัวประธาน และการอภิปรายถกเถียงเรื่องการจัดสรรและตรวจสอบงบประมาณกรุงเทพมหานคร
ทำให้เกิดคำถามและความคาดหวังต่อการเคลื่อนไหวในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และสมาชิกสภากรุงเทพมหานครในรอบหน้าในอีกปีที่จะถึงมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ก่อนจะเขียนเรื่องนี้ ต้องขอออกตัวสัก 2 เรื่อง
หนึ่ง ไม่อยากเขียน หรือวิเคราะห์เรื่องนี้ในมุมมองการเมืองระดับชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่นักวิเคราะห์และสื่อมักจะถนัด คือมองเรื่องการเมืองและการเลือกตั้ง กทม.เป็นเพียงแค่ “สนามเล็ก” ของการเมืองชาติเท่านั้นเอง
อาทิ แนวคิดที่ว่าการเมืองกรุงเทพฯจะเป็นตัวชี้วัดที่บ่งบอกถึงคะแนนความนิยมของการเมือง และรัฐบาล รวมทั้งพรรคการเมือง และตัวแสดงทางการเมืองในระดับชาติ
ไม่ว่าจะมองว่ามันสะท้อนออกมาอย่างตรงไปตรงมา หมายถึงว่าใครครองกรุงเทพฯก็จะครองประเทศ
หรือสะท้อนแบบ “สองนคราฯ” คือคนกรุงเทพฯ (รวมหัวเมืองใหญ่) กับต่างจังหวัด เลือกตรงข้ามกันในแนวเมืองกับชนบทแล้วมีความขัดแย้ง หรือต่อรองกัน
การวิเคราะห์พวกนี้เน้นที่ตัวเลขมากกว่าเอาปัญหากรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางในการวิเคราะห์
สอง ไม่อยากเขียน หรือวิเคราะห์ในมุมแค่ว่าใครจะได้เป็นผู้ว่าฯกทม. หรือแค่ถามว่า อาจารย์ชัชชาติจะได้เป็น (อีกไหม) เพราะก็เป็นเรื่องที่เน้นแบบผลคะแนนเป็นตัวตั้ง ในเชิงการทำนายผลมากกว่าทำนายปัญหาของเมือง
บางทีวิเคราะห์ไปก็ไม่ได้ความหวังอะไรมาก
จะวิเคราะห์แค่ว่าคนที่เราเชียร์ควรจะได้
หรือวิเคราะห์แล้วก็คิดว่ายังไงก็เปลี่ยน “กระแส” อะไรไม่ได้
โดยส่วนตัวผมก็เอาใจช่วยอาจารย์ชัชชาติและทีมงานมาตลอด แถมได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการทำงานด้วย ก็เข้าใจทั้งความท้าทายบางส่วนที่ทีมงานของอาจารย์เผชิญอยู่
และผมก็เชื่อว่าต่อให้คนหลายคนไม่ได้เลือกอาจารย์และทีมงาน ต่อให้เขาวิจารณ์ เขาก็วิจารณ์ในแบบที่คาดหวังว่ากรุงเทพฯมันจะต้องดีขึ้น เพียงแต่ว่าสิ่งที่เห็นอาจจะยังไม่เพียงพอตามที่เขาคาดหวังเสียมากกว่า
ทางออกอีกทางในการศึกษาเรื่องของการเมือง กทม.สำหรับผมคือ เอาเรื่อง กทม.และเอาเรื่องเมืองมาเป็นที่ตั้ง
มุ่งเน้นที่ปัญหา
มากกว่าแค่ตัวบุคคล
ไม่มีใครคนใดคนหนึ่ง หรือทีมงานเดียวจะแก้ปัญหาเมืองนี้ได้
สิ่งที่ท้าทายคือ เราต้องการ “วาระการพัฒนาเมือง”
หรือ “วาระการพัฒนา กทม.” จากทุกภาคส่วน
ต้องรีบทำ
ไม่ใช่ทำเพื่อเปิดตัวทีมงานผู้สมัคร
แต่ทำเพื่อกำหนดวาระการพัฒนาเมือง ให้ผู้สมัครและทุกทีมงานนำเรื่องนี้ไปจัดทำนโยบาย และการรณรงค์การเลือกตั้ง
ไม่ใช่นั่งรอให้ผู้สมัครนำเอานโยบายมาเร่ขายฝันเหมือนที่ผ่านมา
แล้วเราก็แค่เลือก
เราต้องตั้งประเด็นให้ได้ก่อนว่าประชาชนต้องการให้แก้ปัญหาอะไร
และมีงานวิจัยรองรับว่า ปัญหาของ กทม.ในมุมมองตามหลักวิชาคืออะไรบ้าง เพราะบางเรื่องอาจจะเป็นเรื่องที่คนอาจจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ไม่ใช่ปัญหารายวันที่สามารถกดรายงานไปยังหน่วยงานของรัฐได้
ที่สำคัญต้องเลิกคิดด้วยว่ากรุงเทพฯเป็นเพียงการเลือกตั้งท้องถิ่น และการเลือกตั้ง “สนามเล็ก”
ต้องคิดใหม่ว่าการเลือกตั้ง การเมือง และการบริหารกรุงเทพฯ เป็นความท้าทายระดับโลก
พูดแบบไม่กลัวทัวร์ลง บางทีบริหารกรุงเทพฯอาจจะยากกว่าบริหารประเทศเสียอีก
ไม่ได้เว่อร์ แต่ประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก เท่ากับศักดิ์ศรีของกรุงเทพมหานครที่เป็นเมืองระดับโลก และได้อันดับหนึ่งมากมาย และมีชื่อเสียงในหลายเรื่องมากกว่าประเทศไทยเสียอีก
ในมิติของเมือง การบริหารกรุงเทพฯคือการบริหารเมืองของโลกครับ อย่าได้ถ่อมตน
อย่าได้แค่ลอกแนวคิดของเมืองอื่นมาปรับใช้ง่ายๆ
ต้องคิดร่วมกันว่าถ้ากรุงเทพฯมันน่าเที่ยวขนาดนี้ มีอาหารที่ดีขนาดนี้ ติดอันดับที่มีค่าครองชีพแพงขนาดนี้ และมีอะไรอีกมากมายที่ท้าทายขนาดนี้ ทำไมเราไม่ร่วมกันทำให้มันดีขึ้นกว่านี้ แล้วทำให้มันเป็นจักรกลที่ทำให้ประเทศมันดีขึ้นไปกว่านี้ได้อีก?
ถ้าตั้งหลักเช่นนี้เราก็จะไม่ต้องคิดแค่ว่าเลือกตั้งกรุงเทพฯพรรคไหนจะชนะ หรือใครจะเป็นผู้ว่าฯกรุงเทพฯ เพราะคนทั้งโลกเขาอาจไม่ได้สนใจว่าใครเป็นผู้ว่าฯกรุงเทพฯหรอกครับ
เขาสนใจว่าคนกรุงเทพฯเป็นอย่างไร เมืองกรุงเทพฯเป็นอย่างไร มากกว่าใครคือผู้ว่าฯและทีมงาน
เหมือนกับที่เราไปประเทศอื่นๆ เราอาจไม่ได้สนใจว่าใครเป็นผู้ว่าฯ หรือทีมงานของเมืองนั้น เท่ากับคุณภาพคนและคุณภาพชีวิตของคนในเมืองนั้น
ในสัปดาห์นี้ผมมีข้อเสนอ 2 ประการ ในการพิจารณาเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าฯและสมาชิกสภากรุงเทพมหานครที่จะมาถึง (เรื่องอื่นๆ เก็บไว้เขียนวันหลังบ้าง)
ประการแรก คือเรื่องของการจัดทำข้อตกลงในการให้บริการระหว่างทีมบริหารเมืองกับประชาชนในเมือง
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่มีคนพูดถึง
การจัดทำข้อตกลงระหว่างทีมบริหารเมืองกับประชาชนพลเมืองนี้มีนัยสำคัญ เป็นทั้งพันธสัญญา และควรมีผลรูปธรรมในการปฏิบัติไม่น้อยกว่าการรายงานทราฟฟี่ ฟองดูว์ แดชบอร์ด บิ๊กดาต้า ดาต้าวิชวลไลเซชั่นอะไรอีกมากมาย
คำถามคือ ถ้าผู้บริหารทำอะไรไม่ได้ตามสัญญาที่ให้ไว้ หรือไม่ได้ให้สัญญาอะไรไว้ เขาควรจะทำได้เหรอ
ถ้าทำไปแล้วไม่ได้เรื่อง ต้องปล่อยทำไปจนครบ 4 ปี หรือต้องรอให้เกิดการประท้วงกดดันให้ขับออกหรือ?
ผมยกตัวอย่างเช่นกรณีการแยกขยะ
คำถามเรื่องการแยกขยะไม่ใช่ไม่ดี แต่มันเป็น pain point ของใคร
ผมบอกเลยว่าเป็นของ กทม. ไม่ใช่ของประชาชน
การขึ้นค่าขยะไม่ควรขึ้นด้วยเงื่อนไขสัมพันธ์กับการแยกขยะครับ
การขึ้นค่าขยะเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องมาโหวตกันในระดับของการเลือกตั้งผู้ว่าฯแล้วครับ เพราะมันขึ้นไปจากยี่สิบไปที่หกสิบบาท
สามเท่าโดยที่ไม่มีสิทธิต้านอะไร
หรือว่าสภา กทม.ไม่ได้รู้สึกว่าคนเดือดร้อนก็มี
ถามว่าปัญหาใหญ่อยู่ที่ไหน ปัญหาใหญ่ของคนจริงๆ คือทำไมขยะไม่พ้นไปจากบ้านเขา และมีหลักอะไรมารับประกันว่าจะต้องไม่มีขยะหน้าบ้านเขา
กรณีบ้านผมนี่ อยู่ดีๆ จากสัปดาห์ละสองครั้ง มาเป็นสัปดาห์ละครั้ง
แถมไม่มีความแน่นอนในวันที่จะมาเก็บ เพราะคนทำงานไม่พอ
คำถามคือ ถ้าไม่จัดเก็บตัว กทม.และผู้บริหารต้องรับผิดชอบอะไรกับผมบ้างไหม
แต่ถ้าผมไม่แยกขยะ จะจัดเก็บผมสามเท่า ทั้งที่ผมไม่ได้เลือกมาให้ขึ้นค่าขยะสามเท่า
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องแค่รายงานครับ แต่มันหมายถึงว่า ในการบริหารงานจริงของเมืองนั้น ความสัมพันธ์ของผู้ให้บริการกับผู้รับบริการจะถูกจัดวางอย่างไร
ยกตัวอย่างกรณีของสัญญาณมือถือที่หายไปแล้วบริษัทนั้นชดเชยให้กับผู้บริโภค
ผมถามว่า สัปดาห์นี้ถ้ารถขยะไม่มาเก็บหน้าบ้านผมเนี่ย ผมจะฟ้องร้องที่ไหน ผมจะได้ค่าชดเชยอะไรไหม
เหมือนกับไฟดับ น้ำไม่ไหล มีการชดเชยไหม แต่ถ้าเราไม่จ่ายค่าน้ำค่าไฟคือตัดแล้วเสียค่าธรรมเนียมต่อเลย
ถามว่า ถ้าเลือกรัฐบาล แล้วรัฐบาลเข้ามาแล้วขึ้นค่าไฟสามเท่านี่ทำได้ไหม
ที่พูดมาทั้งหมดนี้ไม่ได้โจมตีเรื่องหนึ่งเรื่องใด แต่อยากให้ยกระดับวิธีคิดว่า การบริหารเมืองแล้วมาแค่วิจารณ์ว่าเมืองสมัยใหม่เป็นเสรีนิยม หรือเป็นสินค้านั้น อ่านตำราฝรั่งมาก็พูดได้
คำถามอยู่ที่ว่า ถ้ากล้าจะไปให้ถึงแก่นของความเป็นเสรีนิยมทางเศรษฐกิจในการบริหารเมือง มันก็ยังต้องมีกฎต้องมีเกณฑ์กำกับดูแลอยู่ดี
ในแง่ของสมาชิกสภาผู้แทนกรุงเทพมหานครก็เช่นกัน อะไรคืองานของเขาที่ประชาชนจะต้องตรวจสอบได้ ถ้าไม่ชัดเจน วัดประเมินไม่ได้ เราก็จะไม่สนใจข่าวในสภา กทม.เท่าไหร่ ปีหนึ่งอาจจะมีสักครั้งหนึ่ง
จนวันนี้สังคมยังไม่ชัดเจนเลยว่าเราคาดหวังอะไรจาก ส.ก.ได้จริงๆ จังๆ เมื่อเทียบกับ ส.ส.
กล่าวโดยสรุป การชดเชย และความเหมาะสมในการให้ และขึ้นค่าบริการของเมืองในแง่บริการสาธารณะจะวัดและตรวจสอบด้วยอะไร ฟ้องด้วยการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไหม หรือใช้กลไกอะไรที่ยึดโยงกับประชาชนในการยุติสัญญา หรืออนุมัติสัญญานั้น
ลองคิดอีกแบบ กทม.มีทางเลือกอื่นได้อีกที่ไม่ได้ทำ เช่น รับซื้อขยะคืนจากประชาชน แทนที่จะใช้วิธีบังคับแยกขยะ หรืออ้างว่าเป็นแรงจูงใจ เพราะถ้าไม่แยกก็เก็บแพง ทั้งที่อธิบายไม่ได้ว่ามันเป็นธรรมทั้งหมด เช่น บ้านหนึ่งคนอยู่ กับห้าคนอยู่ ก็จ่ายเท่ากันอยู่ดี
แต่กฎหมายมันตรงข้ามล่ะ คือถ้า กทม.ไม่จัดซื้อขยะคืนจากประชาชน หรือไม่บังคับให้ห้างร้านบวกค่าถุงค่าขยะลงไปแล้วประชาชนเรียกคืนได้ เช่น ขวดมีค่ามัดจำ หรือขวดมีมูลค่าที่ร้านค้าต้องรับซื้อคืนอะไรทำนองนี้ ก็มีความเป็นไปได้เช่นกัน
ประการที่สอง “วาระการพัฒนากรุงเทพฯ” สิ่งนี้ต้องช่วยกันขับเคลื่อนมากกว่าโครงการต่างๆ
โดยทั่วไปการจัดทำวาระการพัฒนากรุงเทพฯมักทำกันในแนวผ้าป่าสามัคคี คือทำกันสั้นๆ ขาดองค์กรที่จะขับเคลื่อนจริง และเป็นองค์กรที่ไม่ได้ต้องการจะมาเป็นผู้บริหารเอง
วาระการพัฒนากรุงเทพฯที่ผ่านมาจึงเป็นแค่ตัวประกอบตอนต้นก่อนเปิดเวที หรือการรณรงค์รายงานข่าวเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.เท่านั้นเอง เช่น มาดูว่าประชาชนต้องการอะไรจากการสำรวจ สัมภาษณ์ หรือบิ๊กดาต้า แล้วตัดเข้ารายการ ส่วนผู้สมัครต้องการอะไร
สีสันไปอยู่ที่โวหารกับความฝันของผู้สมัคร มากกว่าการถกเถียงจริงว่าแต่ละคนได้มาซึ่งนโยบายเหล่านั้นอย่างไร
แม้กระทั่งคำถามว่า เราจะเป็นแบบอย่างอะไรให้กับโลก ไม่ใช่แค่จะเอาส่วนอื่นของโลกมาไว้ที่เรา
และเมื่อได้รับชัยชนะแล้ว ใครจะกำกับดูแลผู้ว่าฯ ผู้บริหาร และสมาชิกสภา กทม.ให้ทำงานตามนั้น และถ้าไม่ทำจะรับผิดชอบอย่างไร ไม่ใช่แค่ไม่ต้องเลือกอีกในครั้งต่อไป เพราะมันนานเกินไป และมีต้นทุนที่จะต้องรับผิดชอบร่วมกันอีกมากมาย
โหมโรงกันเล็กๆ ว่าสื่อ สถาบันการศึกษา ประชาสังคม จะช่วยกันคิดอะไรให้ได้ก่อนที่จะถึงเวลาที่ปล่อยให้ผู้สมัครพาเราไปทางนู้นทางนี้ทั้งที่เมืองของเราเราควรกำหนดเองมากกว่านี่
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ : ก่อนจะเข้าฤดูการเลือกผู้ว่าฯกทม.
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.matichon.co.th