“การเมืองป่วน” ซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยรั้งท้ายอาเซียน
รอดูว่าการจัดตั้งครม.ชุดใหม่จะจบภายในเดือนนี้หรือไม่ หากล่าช้าไปจนถึงปลายปี 2568 อาจกระทบต่อตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจไทยได้
ถ้าดูจากรายงานตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ(จีดีพี) ล่าสุดที่รายงานโดยสภาพัฒน์ (สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ :สศช.) พบว่า จีพีดีไตรมาส 2 ของไทยต่ำสุดในอาเซียน ขยายตัวเพียงร้อยละ 2.8 ลดลงจากไตรมาส 1/2568 ที่ขยายตัวร้อยละ 3.2 สาเหตุสำคัญมาจากการชะลอตัวของภาคนอกเกษตร โดยเฉพาะกลุ่มบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ขณะที่ภาคเกษตรยังคงขยายตัวต่อเนื่อง
ขณะที่ประเทศอื่นๆ เวียดนาม GDP เติบโตได้ถึงร้อยละ 8
ฟิลิปปินส์ร้อยละ 5.5
อินโดนีเซียร้อยละ 5.1
ส่วนสิงคโปร์และมาเลเซีย เติบโตเท่ากันที่ร้อยละ 4.4
ส่วนแนวโน้มทั้งปี จีดีพีไทย มีแนวโน้มต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในอาเซียนเช่นกัน และมีโอกาสต่ำกว่า เมียนมา ที่มีปัญหาทางการเมือง โดยมีการประเมินกันว่าปีนี้ไทยจะเติบโตไม่ถึงร้อยละ 2
การประเมินดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนศาลมีคำสั่งให้ ครม.ทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่ง ดังนั้นถ้าประเมินกันใหม่อีกรอบ คาดว่าโตต่ำกว่าที่ประเมินกับไว้ก่อนหน้านี้
ส่วนสำนักวิจัยเศรษฐกิจ 2 แห่ง คือ SCB EIC และศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองแนวโน้มครึ่งปีหลังไม่ดีนัก
“SCB EIC มองเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง เสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค (Technical recession)” อาจขยายตัวเฉลี่ยไม่ถึงร้อยละ 1 และคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะยังคงชะลอตัวลงต่อเนื่องในปีหน้า
SCB EIC คาดไว้ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งว่า เศรษฐกิจทั้งปีนี้ขยายตัวร้อยละ 1.8 ในปีนี้ และปีหน้าร้อยละ 1.5 โดยแรงส่งหลักของเศรษฐกิจจะทยอยแผ่วลงในช่วงครึ่งหลังของปี เป็นผลจากการส่งออกหดตัวหลังสหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีตอบโต้ การท่องเที่ยวชะลอ และการลงทุนภาครัฐเบิกจ่ายช้ากว่าคาด
แม้ว่าสหรัฐฯ ลดภาษีตอบโต้ให้ไทยเหลือ ร้อยละ 19 น่าจะช่วยบรรเทาความเสี่ยงในการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดลงได้บ้าง แต่ยังต้องจับตาความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกไทย ที่อาจต้องเจอแรงกดดันจากคู่แข่งที่เผชิญภาษีนำเข้าในอัตราที่แตกต่างกันไป
นอกจากประเด็นการค้า ยังมีประเด็นความขัดแย้งไทยและกัมพูชาเป็นปัจจัยลบเพิ่มเติมผ่านช่องทางการค้า การลงทุน ท่องเที่ยว และแรงงาน ผลกระทบขึ้นกับความรุนแรงของมาตรการตอบโต้และความยืดเยื้อ ทำให้ภาพรวมแนวโน้มของภาคธุรกิจไทยยังมีความเสี่ยงอยู่มาก และต้องจับตาความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกไทยกับคู่แข่งที่เผชิญภาษีสหรัฐฯ ในอัตราแตกต่างกัน และรายละเอียดเพิ่มเติมของข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับไทย โดยเฉพาะธุรกิจส่งออกที่เน้นตลาดสหรัฐฯ จะเผชิญการแข่งขันด้านราคารุนแรงขึ้น หรือหากสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ มี Import content สูง อาจเสี่ยงถูกเพ่งเล็งกรณีสวมสิทธิ
ทางด้าน “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีมุมมองเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังว่า มีแนวโน้มชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญ คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตได้เพียงร้อยละ 1.5”
การส่งออกไทยมีแนวโน้มหดตัวลึกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่าจะหดตัวถึงร้อยละ 7.4 เนื่องจากมีการเร่งส่งออกสูงไปแล้วในช่วงครึ่งปีแรก และทิศทางเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอลงในช่วงครึ่งปีหลัง แม้อัตราภาษีตอบโต้ ที่ไทยได้รับที่ร้อยละ 19 นั้นเป็นอัตราที่แข่งขันได้กับประเทศอื่นในภูมิภาค แต่อัตราภาษีดังกล่าวก็ถือว่าสูงขึ้นค่อนข้างมากจากระดับก่อนหน้าที่จะมีการออกมาตรการภาษีฯ อีกทั้ง ยังต้องติดตามรายละเอียดการเรียกเก็บอัตราภาษีสินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment) ที่ร้อยละ 40 ที่คาดว่าจะส่งผลให้การนำเข้าสินค้าเพื่อ Re-export ไปยังตลาดสหรัฐฯ ผ่านไทยมีแนวโน้มลดลง
นอกจากนี้ การส่งออกไทยยังเผชิญความเสี่ยงจากการเก็บภาษีรายสินค้าภายใต้มาตรา 232 ที่อาจออกมาเพิ่มเติมในช่วงปลายปีนี้จนถึงต้นปีหน้า
ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวคาดว่าจะยังหดตัวต่อเนื่องไปในไตรมาส 3-4 ของปีนี้ และมองทั้งปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวคาดว่าจะอยู่ที่ 32.2 ล้านคน หรือหดตัวที่ราวร้อยละ 9 โดยภาคการท่องเที่ยวไทยเผชิญความท้าทายมากขึ้นจากทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวของไทยที่ลดลง และความกังวลของนักท่องเที่ยวด้านความปลอดภัยในไทย ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา
การลงทุนและการใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มชะลอตัวในไตรมาส 3-4 ของปีนี้ จากทั้งปัจจัยการเบิกจ่ายงบประมาณที่ช้าลง และผลของฐานต่ำที่หมดไป ขณะเดียวกันยังมีความกังวลว่าปัญหาการเมืองในขณะนี้ อาจกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
ทางด้านภาคเอกชน ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ระบุถึงปัญหาการเมืองขณะนี้ว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังเป็นเงื่อนไขสำคัญที่บั่นทอนศรัทธา การขับเคลื่อนเศรษฐกิจจึงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะเรากำลังเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจที่หนักอยู่แล้ว ซึ่งต้องยอมรับว่าเสถียรภาพทางการเมืองไทย และอาจกระทบต่อเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญวิกฤตอยู่แล้ว
เอกชนและนักลงทุนต่างชาติ กำลังติดตามสถานการณ์การเมืองไทยอย่างใกล้ชิด หากการเมืองยังไร้เสถียรภาพต่อไป ความเชื่อมั่นก็จะสั่นคลอนหนักขึ้น นักลงทุนจะลังเล การท่องเที่ยวจะชะลอตัว ทุกอย่างจะกระเทือนเป็นลูกโซ่
สิ่งสำคัญที่สุดที่เอกชนอยากเห็นคือ ต้องเร่งหานายกรัฐมนตรีใหม่ตามรัฐธรรมนูญ อยากเห็นการฟอร์มคณะรัฐมนตรีที่ดี ได้บุคลากรที่มีฝีมือและเป็นที่ยอมรับเข้าบริหารประเทศ เพื่อให้ประเทศมีผู้นำที่สามารถสานต่อการทำงานได้โดยเร็ว
การฟื้นฟูประเทศเอกชนคงไม่สามารถทำได้เพียงฝ่ายเดียว การเมืองต้องนิ่ง มีเสถียรภาพ และเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบมาตรการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง จึงจะสร้างความมั่นใจให้กับสังคมและนักลงทุนได้
ทางด้านตัวแทนจากภาคการผลิต เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า อยากเห็นการจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยเร็ว หากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ล่าช้า จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายสำคัญ เช่น การเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ การแก้ไขปัญหาชายแดน การจัดการอุทกภัย และการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโครงการที่ต้องการรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มในการตัดสินใจ ต้องยอมรับว่าเสถียรภาพทางการเมืองเปลี่ยนแปลง ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และกระทบต่อการวางแผนนโยบายเศรษฐกิจระยะยาว
การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอาจทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2568 ซึ่งรวมถึงโครงการลงทุนต่างๆ ชะงักลงได้ แต่เศรษฐกิจไทยยังมีโอกาสฟื้นตัว หากภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันวางมาตรการรองรับได้ทันการณ์
ในช่วงรอรัฐบาล ภาคเอกชนต้องปรับตัวเชิงรุก เช่น เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อลดต้นทุนและแข่งขันในตลาดโลก พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ตลาดโลก เพื่อรักษาความสามารถแข่งขันของไทยในตลาดโลก รวมทั้งสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างธุรกิจต่างสาขา เพิ่มโอกาสลงทุนและการเข้าถึงตลาด
ส่วนด้านท่องเที่ยว อดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) มองว่า ไทต้องเผชิญกับสุญญากาศทางการเมืองอีกครั้ง ทำให้นโยบายของรัฐบาลขาดความต่อเนื่อง การมีรัฐบาลใหม่คงใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน น่าจะส่งกระทบต่อเศรษฐกิจที่อ่อนแอมากอยู่แล้ว
การเติบโตเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี ที่เคยมีการคาดว่าจะโตเพียงร้อยละ 1 อาจโตต่ำกว่าระดับดังกล่าวได้ โดยคาดหวังว่าการตั้งรัฐบาลใหม่จะเร็ว แล้วเสร็จภายใน 1-2 เดือน เพื่อไม่ให้ทุกอย่างซึมลง โดยเหมือนช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ทุกอย่างซึมลงจากการที่นายกฯ ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว
เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี อาจกระทบต่อการท่องเที่ยวของคนในประเทศ โดยปกติช่วงไตรมาส 4 ถือเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) คนไทยออกเดินทางไปเที่ยวกันมาก นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้น แต่ปีนี้อาจมีการเดินทางลดน้อยลง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง