คิดว่า The Devil Wears Prada ตีความใหม่ยังไงในโลกแห่งยุค Gen Z?
LSA Says: เมื่อเจ้านายสุดเผด็จการกลายเป็นภาพสะท้อนของอำนาจในโครงสร้างชายเป็นใหญ่ และเด็กฝึกงานธรรมดาๆ กลายเป็นตัวแทนของการเลือกดูแลใจตัวเองในโลกที่ไม่เคยหยุดหมุน
หากจะมีภาพยนตร์แฟชั่นเรื่องใดที่ยังคงหรูหรา ทรงพลัง และเต็มไปด้วยอิทธิพลต่อป๊อปคัลเจอร์แม้เวลาจะผ่านไปเกือบสองทศวรรษ ‘The Devil Wears Prada’ ที่ออกฉายในปี 2006 มักเป็นชื่อแรกที่ใครหลายคนนึกถึง ด้วยบทพูดที่เฉียบคม ฉากรันเวย์และการสไตลิ่งที่ร่วมสมัย และการแสดงที่ถึงพริกถึงขิงของ Meryl Streep และ Anne Hathaway ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่เคยตกยุคและได้รับการพูดถึงอย่างท่วมท้น แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือการกลับมา ‘ตีความใหม่’โดยผู้ชม Gen Z ซึ่งเติบโตมากับแนวคิดเรื่องสิทธิ ความเท่าเทียม การดูแลสุขภาพจิต และการกล้าปฏิเสธสิ่งที่ไม่ตรงกับคุณค่าของตัวเอง บทความนี้เราจะพามาวิเคราะห์ภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านมุมมองยุคใหม่เพื่อต้อนรับภาคสองที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า
ในยุคที่วาทกรรมเรื่อง burnout culture และ toxic leadership กลายเป็นภาษาประจำวัน การทำงานในโลกของ Miranda Priestly หัวหน้าบรรณาธิการสุดโหดของนิตยสาร Runway ก็เริ่มถูกมองต่างไปจากเดิม เธอไม่ได้เป็นเพียงตัวละครเจ้านายสุดเท่ผู้เชี่ยวชาญ แต่กลายเป็นภาพแทนของระบบที่หล่อหลอมให้ผู้หญิงต้องกลายเป็น ‘ความแข็งแกร่ง’ เพื่อจะได้มีที่ยืนในอาณาจักรที่ผู้ชายสร้างขึ้น และเมื่อมองลึกลงไปผ่านเลนส์ของสตรีนิยมร่วมสมัย เราเริ่มเห็นว่ามิแรนด้าอาจไม่ได้เป็น ‘นางมารในชุด Prada’ แต่เป็นผู้หญิงที่ไม่มีทางเลือกนอกจากจะแข็งแกร่งให้มากกว่าทุกคน เพราะความอ่อนโยนไม่เคยมีที่ให้ยืนในโครงสร้างอำนาจที่เธออยู่
สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือการเปลี่ยนมุมมองต่อตัวละคร Andrea Sachs ซึ่งเคยถูกมองว่าไร้สไตล์ งุ่มง่าม และอ่อนหัดในโลกแฟชั่น แต่กลายเป็นภาพแทนของคนรุ่นใหม่ที่ปฏิเสธความสำเร็จที่ต้องแลกมาด้วยตัวตนของตัวเอง ในโลกที่เต็มไปด้วยแรงกดดันให้ทำตามระบบ First Jobber ที่กล้าลาออกจากงานในฝันเพียงเพราะจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ความฝันที่ตามหา กลายเป็นแบบอย่างของคนยุคใหม่ที่เลือกตั้งขอบเขตในชีวิตการทำงาน ไม่ใช่ด้วยความล้มเหลว แต่ด้วยความเข้าใจในคุณค่าและสุขภาพจิตของตัวเองThe Devil Wears Prada ในแบบฉบับของ Gen Z จึงไม่ใช่แค่หนังแฟชั่นคลาสสิกที่ดูเพลิน แต่คือบทบันทึกในโลกที่กำลังเปลี่ยน และเป็นสนามให้ถกเถียงถึงคำถามว่า “เราต้องแลกอะไรเพื่อจะได้ยืนอยู่บนยอดของพีระมิด?” คำตอบในยุคก่อนอาจเป็น “อดทนเข้าไว้ แล้วสักวันจะได้เป็นใหญ่” แต่ในวันนี้ คำตอบนั้นกำลังถูกท้าทายจากคนรุ่นใหม่ที่ถามกลับว่า “ทำไมเราต้องปีนขึ้นไปที่นั่น ในเมื่อมันไม่ใช่ที่ที่เราอยากอยู่”
เมื่อย้อนกลับไปดูซ้ำอีกครั้งในปี 2025เราจะเห็นว่า ความเจ็บปวดของ Emily ที่ไม่ได้นั่งแถวหน้าแฟชั่นวีค ความเกรี้ยวกราดของมิแรนด้าที่แฝงไว้ด้วยความโดดเดี่ยว และการตัดสินใจของแอนเดรียที่เลือกเดินออกจากงานในฝัน ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นเพียงเหตุการณ์ในบทภาพยนตร์อีกต่อไป แต่มันคือการสะท้อนจริงของชีวิตคนทำงานหญิงในแต่ละยุคสมัย มันคือชีวิตจริงของผู้หญิงที่ต้องกลั้นน้ำตาบนทางเดินหินอ่อนในออฟฟิศหรู มันคือเสียงถอนหายใจของใครบางคนที่มองกาแฟในมือแล้วยังรู้สึกว่าตัวเองทำไม่ดีพอ และมันคือความกล้าที่จะวางทุกอย่างลงเพื่อรักษาใจตัวเองไว้
บางคนอาจบอกว่า ถ้า The Devil Wears Prada ฉายวันนี้อาจจะโดนยกเลิกแน่ เพราะมัน Romanticize ความเป็นเจ้านายจอมเผด็จการ หรือสร้างภาพให้แรงงานทุ่มสุดตัวดูเหมือนเรื่องน่าชื่นชม แต่ในอีกมุมหนึ่งหนังเรื่องนี้ก็ยังมีคุณค่าทางวัฒนธรรมในฐานะ ‘หลักฐาน’ ของยุคที่เราเคยอยู่ และยิ่งเมื่อเรากลับมาดูด้วยสายตาที่เปิดกว้าง หนังเรื่องนี้ก็สามารถกลายเป็นเครื่องมือให้เราเรียนรู้ว่าความสำเร็จแบบเดิม ไม่ใช่ทางเลือกเดียวอีกต่อไป เพราะสุดท้ายแล้ว แม้แฟชั่นจะเปลี่ยนไปทุกฤดูกาล แต่บทเรียนจากมิแรนด้าและแอนเดรียยังคงอยู่กับเราเสมอ ไม่ใช่เพื่อให้เราทำตาม แต่เพื่อให้เรากล้าตั้งคำถามว่า “อะไรคือความสำเร็จที่เราอยากเป็นเจ้าของจริงๆ”
Note : The information in this article is accurate as of the date of publication.