“เลือดข้นคนจาง" ศึกสายเลือด ชิงอำนาจดุสิตธานี
“เลือดข้นคนจาง" ศึกสายเลือด ชิงอำนาจดุสิตธานี
หากใครยังจำปรากฏการณ์ "ใครฆ่าประเสริฐ" จากซีรีส์สุดเข้มข้นอย่าง "เลือดข้นคนจาง" ได้ เรื่องราวของตระกูล "จิระอนันต์" ที่เบื้องหน้าดูอบอุ่น แต่เบื้องหลังกลับเต็มไปด้วยความลับ การแก่งแย่งชิงดี และรอยร้าวที่รอวันปะทุ คงต้องบอกว่ามหากาพย์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในตระกูลผู้ก่อตั้ง "ดุสิตธานี" นั้นมีความดราม่าไม่แพ้เรื่องราวในละครเลยทีเดียว!
ใจกลางกรุงเทพฯ ยอดแหลมสีทองของโรงแรมดุสิตธานีไม่ได้เป็นแค่แลนด์มาร์ก แต่เป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจ เป็นสัญลักษณ์ของความหรูหราและแบรนด์ไทยที่ดังไกลไปทั่วโลกมากกว่าเกือบ 80 ปี แต่ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ตำนานบทนี้กลับร้อนระอุขึ้นมาด้วยเรื่องราว "ศึกสายเลือด" ที่สั่นสะเทือนวงการธุรกิจ ซึ่งมีครบทุกองค์ประกอบ ทั้งเรื่องมรดก, ความขัดแย้งในครอบครัว และการต่อสู้เพื่อรักษาสิ่งที่เรียกว่า
"จิตวิญญาณของดุสิตธานี"
จุดเริ่มต้นแห่งตำนาน และปรัชญา "ธุรกิจด้วยเกียรติ"
ย้อนกลับไปเกือบ 80 ปีที่แล้ว ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ไม่เพียงแค่วางรากฐานให้อุตสาหกรรมโรงแรมไทยด้วยการสร้างโรงแรมปริ๊นเซสในปี 2491 และ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ ในปี 2513 เท่านั้น แต่ท่านได้วางหลักการบริหารที่แข็งแกร่งซึ่งเป็นหัวใจขององค์กรมาโดยตลอด นั่นคือ "Business with Honor" หรือการทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์และมีเกียรติ ไม่เอาเปรียบใคร เชิดชูความเป็นไทย และยึดประโยชน์ของชาติมาก่อนกำไรระยะสั้น ท่านผู้หญิงชนัตถ์ย้ำเสมอว่าครอบครัวและลูกหลานจะต้องเป็นผู้ดูแลรักษามรดกและหลักการนี้ไว้สืบไป ซึ่งนี่คือจุดศูนย์กลางของความขัดแย้งที่กำลังจะเกิดขึ้น
รอยร้าวที่มองไม่เห็น สู่ศึกสายเลือดที่เปิดเผย
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบๆ หลังการจากไปของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ผู้ซึ่งมอบหมายให้ คุณชนินทธ์ โทณวณิก ลูกชาย เป็น "เสาหลัก" ในการดูแลกิจการของครอบครัว แต่แล้วสายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงก็เริ่มพัดแรงขึ้น
SPOTLIGHT ค้นข้อมูลโครงสร้างการถือหุ้นจาก ตลท. ณ วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2568
เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น
โครงสร้างผู้ถือหุ้น Dusit Thani 5 อันดับแรก
1. โครงสร้างผู้ถือหุ้น บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด
(ประกอบด้วย 4 ส่วน ของทายาทท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย และชนินทธ์ โทณวณิก)
- ตระกูลโกศลิน 26.66%ชนินทธ์ โทณวณิก 25.40%ณัฐพร, ศิรินันท์ และศิรเดช โทณวณิก ถือหุ้นคนละ 0.42%
- ตระกูลเรียลประเสริฐ 26.65%สิริ เรียลประเสริฐ 26.57%ส่วนที่เหลือเป็นของ บุญชู, ธนัญ, อธิศร และชนินทร์ เรียลประเสริฐ
- ตระกูลสารัชฎ์วิภาค 21.68%สุนงค์ สารัชฎ์วิภาค 21.62%ส่วนที่เหลือเป็นของ ชนิตา, ภัทรพรรณ, ภัทรพร และภัทรส สารัชฎ์วิภาค
- กองมรดก ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย 24.99%
บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด รวม 422,821,310 หุ้น (49.74%)
2.บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) 145,238,320 หุ้น (17.09%)
3.ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 34,500,000 หุ้น (4.06%)
4.วิชิต ชินวงศ์วรกุล 32,886,000 หุ้น (3.87%)
5.จารุณี ชินวงศ์วรกุล 17,793,300 หุ้น (2.09%)
เปิดไทม์ไลน์แห่งความขัดแย้ง:
- กุมภาพันธ์ 2568: จุดแตกหักแรก! คุณชนินทธ์ถูกน้องสาวทั้งสองใช้เสียงโหวตปลดออกจากการเป็นกรรมการใน บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งของครอบครัวและเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เกือบ 50% ในดุสิตธานี (DUSIT) นับเป็นการเปลี่ยนแปลงอำนาจการลงนามที่ท่านผู้หญิงชนัตถ์วางไว้แต่เดิม
- 25 เมษายน 2568: เหตุการณ์ช็อกวงการ ในการประชุมผู้ถือหุ้น DUSIT บริษัท ชนัตถ์และลูก ที่นำโดยน้องสาวของคุณชนินทธ์ กลับ โหวต "ไม่" อนุมัติงบการเงินปี 2567 ของบริษัทที่ตัวเองถือหุ้นใหญ่! เหตุการณ์นี้เปรียบเหมือนการปักธงรบกลางที่ประชุม สร้างความสับสนและทำให้การประชุมต้องเลื่อนออกไปอย่างกะทันหัน
- 28 พฤษภาคม 2568: ในการประชุมครั้งถัดมา สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดขึ้นเมื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่อนุมัติให้กรรมการเดิม 4 ท่านกลับเข้ารับตำแหน่งตามที่คณะกรรมการเสนอ
สถานการณ์นี้ทำให้นักลงทุนและคนในสังคมสงสัยและเกิดคำถาม ว่า "เกิดอะไรขึ้นในดุสิตธานี?"
ผลประกอบการย่ำแย่ VS แผนยึดครองอำนาจ?
เรื่องนี้มีคำอธิบายจากทั้งสองฝ่ายที่เหมือนหนังคนละม้วน
- ฝั่งบริษัท ชนัตถ์และลูก (น้องสาว): ให้เหตุผลที่ไม่อนุมัติงบว่า เพราะบอร์ดบริหารของ DUSIT ตอบคำถามเรื่องสินทรัพย์และหนี้สินไม่กระจ่าง และที่สำคัญคือ DUSIT ขาดทุนมา 5 ปีติดต่อกัน ทำให้พวกเขาในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่ได้รับเงินปันผลเลยแม้แต่บาทเดียว และต้องการเห็นการบริหารที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ฝั่งคุณชนินทธ์ และ DUSIT: ยืนยันว่างบการเงินโปร่งใส ตรวจสอบได้ และผู้สอบบัญชีก็ให้ความเห็นแบบ "ไม่มีเงื่อนไข" ซึ่งแปลว่า "ไม่เจอปัญหาอะไร" ส่วนประเด็นขาดทุน 5 ปีนั้น พวกเขามองว่าไม่ใช่เหตุผลที่จะไม่อนุมัติงบ เพราะมันคือ "ผลของการลงทุนครั้งประวัติศาสตร์” เพื่ออนาคตของดุสิธานี ไม่ใช่การบริหารที่ผิดพลาดหรือการทุจริต
ปม "ขาดทุน" ที่ซ่อน "การเติบโต"
เมื่อแกะงบการเงินดู จะพบความจริงที่น่าสนใจ…
จริงอยู่ที่ DUSIT ขาดทุนสุทธิติดต่อกัน แต่เมื่อมองลึกลงไปจะพบว่า:
- รายได้ปี 2567 ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ที่ 11,204 ล้านบาท
- EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ยและค่าเสื่อม) พุ่งกระฉูด แสดงว่าธุรกิจหลักอย่างโรงแรมยังทำกำไรได้ดีมาก
- ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สินทรัพย์ของบริษัทเพิ่มขึ้น 4 เท่าตัว และ จำนวนโรงแรมภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าตัว
แล้วเงินหายไปไหน? คำตอบคือ "ต้นทุนทางการเงิน" ก้อนมหึมาถึง 578 ล้านบาท ซึ่งมาจาก:
- ดอกเบี้ยหุ้นกู้: ที่ออกมาระดมทุนเพื่อประคองบริษัทให้ผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 โดย "ไม่เคยเพิ่มทุน" แม้แต่บาทเดียว เพื่อไม่ให้เป็นภาระของผู้ถือหุ้น
- ดอกเบี้ยเงินกู้และสัญญาเช่า: ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเมกะโปรเจกต์ "ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค" มูลค่า 46,000 ล้านบาท!
พูดง่ายๆ คือ DUSIT ไม่ได้กำลังจะเจ๊ง แต่กำลังอยู่ในช่วง "ลงทุนเพื่ออนาคต" ครั้งประวัติศาสตร์ เพื่อการเติบโตแบบก้าวกระโดด เหมือนคนสร้างบ้านหลังใหญ่ที่ต้องมีหนี้สินมหาศาล แต่เมื่อสร้างเสร็จ (ซึ่งโครงการ ดุสิต เรสซิเดนซ์ขายได้แล้วกว่า 92% และจะเริ่มโอนในปีหน้า) มันจะกลายเป็นขุมทรัพย์ที่สร้างกำไรอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เปิดเบื้องลึก
เมื่อเหตุผลเรื่องงบการเงินดูจะฟังไม่ขึ้น คุณชนินทธ์จึงตัดสินใจแถลงข่าวเปิดใจแบบหมดเปลือก เผยเบื้องลึกของความขัดแย้ง
คุณชนินทธ์อ้างว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องเงินปันผล แต่มันคือ "ความพยายาม Take Over" โดยมี "กลุ่มเซ็นทรัล" อยู่เบื้องหลัง
เขาเล่าว่าน้องสาวทั้งสองคนพยายามจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกรรมการ เพื่อเปิดทางให้คนนอกเข้ามาควบคุมบริษัท และมีการหารือกับกลุ่มเซ็นทรัลหลายครั้งเพื่อหาทางซื้อหุ้นเพิ่ม ซึ่งอาจนำไปสู่การขายหุ้นของครอบครัวให้แก่กลุ่มเซ็นทรัล ทั้งที่ข้อบังคับของบริษัทห้ามไว้ชัดเจน
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เซ็นทรัลพยายามเข้ามา เพราะในอดีตเคยแอบซื้อหุ้น DUSIT ไปถึง 22.5% โดยไม่แจ้งล่วงหน้า จนคุณชนินทธ์ต้องไปเจรจาขอให้ขายออกครึ่งหนึ่ง ด้วยเหตุผลว่า "เราเป็นคู่แข่งกันโดยตรง" ทั้งในธุรกิจโรงแรมและอสังหาฯ ซึ่งจะก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest)” ชนินทธ์ กล่าว
เดิมพันสุดท้าย
สถานการณ์ล่าสุดคือ บริษัท ชนัตถ์และลูก ได้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 กันยายน 2568 โดยมีวาระสำคัญคือ "การพิจารณาถอดถอนคุณชนินทธ์ โทณวณิก ออกจากตำแหน่งกรรมการบริษัท" และเสนอชื่อกรรมการใหม่เข้ามาถึง 10 คน ทำให้จำนวนกรรมการเพิ่มจาก 12 เป็น 18 คน
นี่คือเดิมพันครั้งสุดท้าย!
- ถ้าคุณชนินทธ์ถูกถอดถอน: อาจหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางของ DUSIT ไปตลอดกาล อำนาจการบริหารมีความเป็นไปได้ที่อาจตกไปอยู่ในมือของคนนอกได้ ซึ่งนั่นจะเท่ากับเป็นการสิ้นสุดยุคของแบรนด์ไทยที่บริหารโดยครอบครัวผู้ก่อตั้งตามเจตนารมณ์ของท่านผู้หญิงชนัตถ์
- ถ้าคุณชนินทธ์ยังอยู่: เขาคือสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ดั้งเดิม ที่ต้องการให้ DUSIT เป็นแบรนด์ที่เชิดชูความเป็นไทย และทำธุรกิจอย่างมีเกียรติ
“ผมขอสัญญาว่า ผมยังจะไม่ไปไหน และจะยังอยู่กับดุสิตธานีตลอดไป และถ้าหากสามารถปลดผมได้ ผมก็จะยังอยู่กับดุสิตธานีในบทบาทอื่น และจะพยายามอย่างเต็มที่ในการกลับเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารดุสิตธานีเหมือนเดิม ผมจะไม่ยอมทิ้งดุสิตธานีไปไหน รวมทั้งจะใช้สรรพกำลังทั้งหมดที่มีอย่างเต็มที่ เพื่อปกป้องดุสิตธานี ไม่ให้ถูกยึดครองโดยไม่ชอบธรรม ผมจะคอยทำหน้าที่จับตาและเฝ้าดู กรรมการและผู้บริหารใหม่ รวมถึง ใครก็ตาม หากเข้ามาทำให้ดุสิตธานีเสียหาย ผมจะใช้สิทธิที่ตนเองมีในการดำเนินการทางกฎหมายอย่างถึงที่สุด” ชนินทธ์ กล่าว
บทสรุปของมหากาพย์ครั้งนี้ยังไม่จบ มันคือการต่อสู้เพื่อปกป้องมรดกทางจิตวิญญาณที่สร้างมากว่า 76 ปี อนาคตของยอดแหลมสีทองกลางกรุงเทพฯ จะเป็นอย่างไร? คำตอบทั้งหมดอยู่ในมือของผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 กันยายนนี้… ศึกสายเลือดครั้งนี้ ใครจะเป็นผู้กำชัย บนซากปรักหักพังของสายเลือด โปรดติดตามตอนต่อไป….