แรงงานกัมพูชากลับบ้าน ธุรกิจไทยระส่ำ บ.เอเจนซี่ ชี้ ศรีลังกาเปทางเลือก
สัมภาษณ์: โดยวรุฒ สุมทุมพฤกษ์, สุวัฑ แซงลาด
ปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา ส่งแรงสั่นสะเทือนถึงตลาดแรงงานไทย “ป.ไชยโย” เผยหลังแรงงานกัมพูชาเริ่มกลับประเทศ ธุรกิจเกษตร–ก่อสร้างชะงัก นายจ้างหวั่นเอกสารไม่ชัดเจน เสนอรัฐดันระบบดิจิทัลติดตามแรงงานต่างด้าว ป้องกันปัญหาและลดความเสียงด้านความมั่นคง เปิดรับแรงงานประเทศทางเลือกเพื่อเดินหน้าเศรษฐกิจ
สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้ส่งผลสะเทือนเฉพาะด้านความมั่นคงระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ยังลามมาถึงประเด็นแรงงานต่างด้าวซึ่งเป็นกลไกสำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะแรงงานกัมพูชาที่เข้ามาทำงานในภาคก่อสร้าง เกษตร และบริการจำนวนหลายแสนคน ขณะเดียวกันปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงาน การจัดการเอกสาร และความกังวลเรื่องความมั่นคงภายในประเทศ กำลังกลายเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลไทยต้องเผชิญและหาคำตอบอย่างเร่งด่วน
ล่าสุด ประชาชาติธุรกิจ มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ นายธนารัตน์ ไชยโย กรรมการผู้จัดการ และนายธีรศักดิ์ ไชยโย ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการ บริษัท นำคนต่างด้าวมาทำงานในประเทศ ป.ไชยโย จำกัด สองผู้บริหารที่อยู่แนวหน้าการจัดหานำเข้าแรงงานต่างด้าว ได้สะท้อนสถานการณ์จริงในพื้นที่ รวมถึงความกังวลของนายจ้าง แรงงาน และข้อเสนอเชิงนโยบายที่รัฐบาลไม่อาจมองข้าม
แม้นำเข้าแรงงานหยุดชะงัก แต่ยังดำเนินงานด้านอื่นได้
นายธนารัตน์ ไชยโย กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยถึงสถานการณ์ปะทะชายแดนไทย–กัมพูชาว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเคลื่อนย้ายและแรงงาน แม้การนำเข้าแรงงานผ่านด่านจะหยุดชะงัก แต่บริษัทฯ และฝั่งเอเจนซี่ในกัมพูชายังสามารถประสานงานร่วมกันได้เต็มรูปแบบ รวมถึงยังดำเนินกระบวนการขั้นตอนเอกสารต่าง ๆ ได้เหมือนเดิม
ทั้งนี้ แรงงานกัมพูชาเป็นกลุ่มสำคัญที่เข้ามาทำงานในไทยจำนวนมาก บริษัทฯ ในฐานะผู้นำเข้าแรงงานกัมพูชายังต้องทำงานหนักเพื่อช่วยเหลือนายจ้างและแรงงานที่ยังอยู่ในประเทศไทย โดยดูแลด้านความปลอดภัย ตรวจสอบเอกสารและดำเนินการให้ถูกต้อง ซึ่งระหว่างนี้ยังคงต้องรอแนวทางจากรัฐบาลว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร
“ถ้าแรงงานกัมพูชากลับประเทศไปหมดอาจทำให้อุตสาหกรรมต่างๆ ต้องหยุดชะงัก ซึ่งในช่วงแรกที่เกิดการปะทะกัน คนไทยที่เป็นเพื่อนร่วมงานกับคนกัมพูชาเขาก็ไม่ได้แอนตี้ หรือต่อต้านแรงงานกัมพูชา แต่ตอนนั้นแรงงานกัมพูชาก็แห่กลับประเทศกัน และเหตุการณ์ที่ประเทศไทยและประเทศกัมพูชาได้เกิดการปะทะตอบโต้กัน ก็เป็นการปะทะโดยใช้กำลังทางทหาร เพราะคนไทยหลายคนก็เข้าใจว่ารงงานกัมพูชาที่เข้ามาในประเทศไทยเขาต้องการเข้ามาทำงานเพื่อแลกเงิน
และตอนนี้บริษัทเอเจนซี่ประเทศต้นทางสัญชาติกัมพูชา หรือแม้แต่แรงงานกัมพูชาที่อยู่ภายใต้การจัดหาของเรา ยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเรา เพียงแต่เมื่อเขาได้รับข่าวสารว่าผู้นำรัฐบาลกัมพูชาได้เรียกร้องให้ชาวกัมพูชาที่ทำงานอยู่ในไทยเดินทางกลับประเทศ โดยบอกว่าหากกลับบ้านแล้วจะมีงานให้ทำ มีเงินใช้ ทำให้มีแรงงานเดินทางกลับประเทศจำนวนมาก แต่ปรากฏว่าเมื่อเดินทางกลับ กลับไม่เป็นอย่างที่แจ้งไว้” นายธนารัตน์กล่าว
ความกังวลของนายจ้างและแรงงานในช่วงนี้
นายธนารัตน์ ระบุว่า สิ่งที่นายจ้างกังวลที่สุดคือเรื่องเอกสารแรงงาน โดยเฉพาะการต่ออายุวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน แม้รัฐบาลไทยยังไม่ได้ยกเลิกข้อตกลงกับรัฐบาลกัมพูชา แต่ความไม่แน่นอนทำให้แรงงานบางส่วนตกอยู่ในภาวะเสี่ยง และเกิดความกังวลใจ
ขณะเดียวกันจากการลงพื้นที่พบว่า แรงงานกัมพูชายังสามารถติดต่อครอบครัวได้ปกติ แม้ครอบครัวในกัมพูชาจะมีความกังวล แต่การที่บริษัทและนายจ้างได้ติดตามเพื่อแสดงความห่วงใยและดูแลอย่างใกล้ชิด จึงทำให้แรงงานกัมพูชาและครอบครัวของเขาเหล่านั้นมีความสบายใจและคลายกังวลมากขึ้น
“คนไทยจำนวนไม่น้อยยังแสดงน้ำใจ ช่วยเหลือแรงงานกัมพูชาที่ทำงานในไทย ทั้งการบริจาคสิ่งของและการสนับสนุนในที่ทำงาน “แรงงานเหล่านี้เข้ามาเพื่อหาเงินกลับไปเลี้ยงครอบครัว ผมอยากให้สังคมเห็นใจและมองพวกเขาเป็นกำลังสำคัญของเศรษฐกิจไทย” นายธนารัตน์ กล่าว
แผนรับมือหากเป็นวิกฤตยืดเยื้อ
นายธนารัตน์ กล่าวว่า หากสถานการณ์ชายแดนยืดเยื้อ บริษัทเตรียมเปิดรับทางเลือกโดยการนำเข้าแรงงานจากประเทศอื่นตามที่นโยบายรัฐบาลกำลังพิจารณา เช่น ศรีลังกา หรือบังกลาเทศ ซึ่งมีแรงงานจำนวนมากที่ต้องการทำงานนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานจากศรีลังกาที่มีวิถีชีวิตและส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธคล้ายกับไทย เพื่อลดปัญหาขาดแคลนแรงงาน
ขณะเดียวกัน ยังได้สนับสนุนให้รัฐบาลและนายจ้างผลักดันให้แรงงานต่างด้าวที่เข้าประเทศแบบผิดกฎหมาย ได้เข้าสู่ระบบหรือขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจะเป็นการลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงในระหว่างที่เกิดสถานการณ์ที่ไม่ปกติได้อีกด้วย
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
นายธนารัตน์กล่าวย้ำว่า จากการที่แรงงานบางส่วนลาออกกลับประเทศ ส่งผลให้หลายกิจการเริ่มขาดแคลน โดยเฉพาะภาคเกษตรและก่อสร้าง ซึ่งก่อสร้างเป็นภาคที่ต้องการแรงงานกัมพูชามากที่สุดเพราะมีความเชี่ยวชาญด้านก่อสร้าง หากขาดแคลนแรงงานเหล่านี้จะทำให้โครงการต่าง ๆ เกิดความล่าช้าและเพิ่มต้นทุนผู้ประกอบการที่เป็นผู้รับเหมา ซึ่งอาจโดนเจ้าของโครงการปรับหากเกิดกรณีที่ส่งงานไม่ทันตามสัญญา
ขณะเดียวกันการกลับประเทศของแรงงานเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อภาคเกษตร โดยเฉพาะการขาดแคลนแรงงานในการเก็บเกี่ยวผลไม้ เนื่องจากนายจ้างบางส่วนต้องเผชิญกับการขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ และแรงงานกัมพูชาเป็นส่วนสำคัญในการคัดแยกและเก็บเกี่ยวผลไม้ เช่น ผู้ประกอบการที่อยู่ในภาคตะวันออก ที่ประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงานในการคัดแยกผลไม้เพื่อส่งออก
อัพเดตข้อมูลบุคคล ลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงได้
นายธีรศักดิ์ ไชยโย ที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการ กล่าวเสริมว่า เหตุปะทะชายแดนทำให้สังคมไทยบางส่วนกังวลต่อแรงงานกัมพูชา โดยเฉพาะสถานะทางกฎหมายของแรงงานที่อาจไม่ชัดเจน ขณะเดียวกัน ปัจจุบันประเทศไทยยังมีไม่ข้อมูลหรือตัวเลขที่แน่ชัดว่า แรงงานกัมพูชาที่เป็นกลุ่มแรงงานผิดกฎหมายมีจำนวนเท่าไหร่ หรือเป็นกลุ่มแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมายจำหนวนเท่าไหร่ หากในกรณีที่เกิดเรื่องไม่ดี เช่น สมมติเขาเป็นสายลับอาจเกิดปัญหาตามมา
นอกจากนี้ ในการดูแลแรงงานทั้ง 3 สัญชาติ (เมียนมา, ลาว และกัมพูชา) ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เนื่องจากตอนนี้แม้จะมีแรงงานกัมพูชาเข้ามาแบบถูกกฎหมาย แต่เมื่อเขาย้ายพื้นที่ทางภาครัฐเองก็ไม่สามารถติดตามได้ว่าย้ายไปอยู่พื้นที่ไหน ถ้าเกิดเขาเป็นทหารสายลับหรือเกิดทำอะไรขึ้นมาก็อาจเป็นปัญหาด้วยเช่นเดียวกัน
“เราอยากเห็นการพัฒนาแอปพลิเคชันกลาง ที่แรงงานต่างด้าวสามารถยืนยันตัวตนและอัปเดตข้อมูลส่วนบุคคลได้ จะช่วยให้ภาครัฐติดตามแรงงานได้ง่ายขึ้น และลดความเสี่ยงด้านความมั่นคงได้ด้วย” นายธีรศักดิ์เสนอ
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : แรงงานกัมพูชากลับบ้าน ธุรกิจไทยระส่ำ บ.เอเจนซี่ ชี้ ศรีลังกาเปทางเลือก
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net