เบื้องหลัง ‘วัดเส้าหลิน’ ฉาว เจ้าอาวาสโกงเงิน-มั่วสีกา? เจาะ ‘เศรษฐกิจวัด’ หมื่นล้านหยวน
“วัดเส้าหลิน” วัดพุทธเก่าแก่กว่า 1,500 ปี ณ ตีนเขาศักดิ์สิทธิ์ในมณฑลเหอหนาน เป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งกำเนิด“กังฟูเส้าหลิน” ซึ่งผสมผสานการฝึกสมาธินิกายเซนและการต่อสู้เข้าด้วยกัน ศิษยานุศิษย์และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ต่างหลั่งไหลมาชมการแสดงกังฟู จุดธูป และสักการะ
อย่างไรก็ตาม บรรยากาศภายในเริ่มเปลี่ยน เมื่อพระอาจารย์“ซื่อ หย่งซิ่น” (Shi Yongxin) เจ้าอาวาสวัดเส้าหลิน กำลังเผชิญการสอบสวนคดีอาญาในข้อหา “ทุจริตทางการเงินและประพฤติผิดทางเพศ”
- เจ้าอาวาสซื่อ หย่งซิ่น แห่งเส้าหลิน (ภาพ: Reuters) -
เขาถูกกล่าวหาว่า ยักยอกและฉ้อโกงเงินทุนโครงการและทรัพย์สินของวัด รวมถึงละเมิดหลักพุทธศาสนาอย่างร้ายแรง โดยการมี “ความสัมพันธ์ที่ไม่เหมาะสม” กับผู้หญิงหลายคนเป็นเวลานาน และมีบุตรอย่างน้อยหนึ่งคน
สำหรับ ซื่อหย่งซิ่น (Shi Yongxin) วัย 60 ปีนั้น บวชที่เส้าหลินตั้งแต่ปี 1981 และขึ้นเป็นเจ้าอาวาสในปี 1999 ตอนอายุ 34 ปี ถูกมองว่าเป็นผู้พลิกโฉมวัดที่เคยทรุดโทรม ให้กลายเป็น “อาณาจักรเชิงพาณิชย์”มีเครือกิจการครอบคลุมการท่องเที่ยว การแสดงศิลปะการต่อสู้ สินค้าที่ระลึก ภาพยนตร์ ยาสมุนไพร อสังหาริมทรัพย์ และร้านอาหาร จนบางคนเปรียบเทียบกับ “กลุ่มธุรกิจดิสนีย์”
แม้เขาถูกวิจารณ์ว่าพาณิชย์เกินไป แต่ซื่ออ้างว่า นี่คือการคุ้มครองมรดกวัฒนธรรมของเส้าหลิน มิใช่การขายศรัทธา อีกทั้งช่วยหยุดการละเมิดลิขสิทธิ์ที่เกิดจากชื่อเสียงของแบรนด์ด้วย
“ถ้าอาตมาไม่ทำอะไรเลย แล้ววัฒนธรรมเส้าหลินที่มีอายุนับพันปีต้องล่มสลายในยุคของเรา พวกเราจะไม่ถูกประณามโดยประวัติศาสตร์หรือ?” หลวงจีนซื่อกล่าว
เส้นทาง ‘พระนักธุรกิจ’ สู่การถูกสอบสวน
ในอดีต ซื่อ หย่งซิ่นเคยเผชิญกระแสต้านอย่างรุนแรง เช่น ในปี 2009 เมื่อมีข่าวจะนำ “วัดเส้าหลิน เข้าตลาดหุ้น” ผ่านกิจการร่วมทุนในฮ่องกง ซึ่งเขาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง
ถัดมาในปี 2015 หลังจากที่ซื่อมอบเช็คมูลค่า 3 ล้านดอลลาร์ หรือราว 97 ล้านบาทให้กับเมืองแห่งหนึ่งในออสเตรเลีย เพื่อสร้างสาขาวัดเส้าหลินที่นั่น พระอาจารย์ซื่อหย่งซิ่นได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวของทางการจีนว่า “ถ้าจีนสามารถนำเข้าสวนสนุกดิสนีย์ได้ ทำไมประเทศอื่นจะนำเข้าวัดเส้าหลินไม่ได้”
“การส่งเสริมวัฒนธรรมเป็นภารกิจที่มีเกียรติอย่างยิ่ง” เขากล่าว
ต่อมาในปีเดียวกัน มีบุคคลที่อ้างตัวว่า เป็นคนวงในของวัดเส้าหลิน โพสต์ข้อกล่าวหาร้ายแรงหลายประการบนโซเชียลมีเดียจีน โดยพรรณนาว่า พระอาจารย์ซื่อเป็นผู้ยักยอกเงิน เจ้าชู้ และมีบุตรนอกสมรสหลายคน แต่ในที่สุดก็ถูกล้างข้อหา เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ
ในการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบีบีซี ภาคภาษาจีนในปี 2015 พระซื่อถูกถามเกี่ยวกับข้อกล่าวหาเรื่องการทุจริตและมีความสัมพันธ์กับผู้หญิง
“ถ้ามีปัญหาจริง เรื่องนี้คงถูกเปิดเผยมานานแล้ว” เขากล่าวในขณะนั้น
อย่างไรก็ตาม ไม่นานมานี้ ในเดือนกรกฎาคมของปีนี้ คณะกรรมการบริหารวัดออกแถลงว่า เจ้าอาวาสซื่อกำลังถูกสอบสวนข้อหายักยอกเงินและทรัพย์สินของวัด รวมถึงมีสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิงหลายคนและมีบุตร ซึ่งขัดต่อศีลของพระ ส่งผลให้สมาคมพุทธแห่งประเทศจีนเพิกถอนสมณศักดิ์ และกิจการที่เกี่ยวข้องก็ถูกยกเลิกจดทะเบียน
หลังข่าวออกมา ร่องรอยของซื่อในวัดถูกลบออก ป้ายเชิดชูพระซื่อก็ถูกปิดทับ และบรรยากาศเชิงพาณิชย์บางอย่าง เช่น การเร่ขายธูปราคาแพง หรือการเชิญชวนบริจาคเงินจำนวนมากหายไป แม้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง แต่บางคนมองว่า ธุรกิจของเส้าหลินยังเดินหน้าต่อได้
‘เศรษฐกิจวัด’ กับข้อถกเถียงเรื่องพาณิชย์
ช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา“เศรษฐกิจวัด” ได้พัฒนาขึ้นในเมืองเติงเฟิงรอบๆ วัฒนธรรมเส้าหลิน ตั้งแต่โรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ ไปจนถึงธุรกิจขายอุปกรณ์กังฟูและของที่ระลึกต่างรุ่งเรืองขึ้นมา
ยิ่งไปกว่านั้น ความต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจก็เพิ่มขึ้น ท่ามกลางชีวิตที่เร่งรีบและตึงเครียด โดยเฉพาะในหมู่ชาวจีนรุ่นใหม่ ได้กระตุ้นให้มีการเดินทางไปสักการะมากขึ้น และนำไปสู่การผสมผสานกับวัฒนธรรมการบริโภค ซึ่งดึงดูดเงินเข้ามาไม่น้อย
สำหรับมูลค่าตลาดเศรษฐกิจวัดในจีน อยู่ที่ 80,000-90,000 ล้านหยวน (ราว 360,000-400,000 ล้านบาท) ในปี 2023 และคาดการณ์ว่าอาจเกิน 100,000 ล้านหยวน หรือราว 450,000 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้ ตามข้อมูลจากบริษัทที่ปรึกษาเชิงธุรกิจ Meritco Group โดยในปี 2023 มีผู้คน 25 ล้านคนเข้าเยี่ยมชมสถานที่ยอดนิยมอย่างวัดเส้าหลินวัดหลิงหยิ่นในหางโจว และวัดยงเหอในกรุงปักกิ่ง โดยวัดทั้งสามแห่งนี้สร้างรายได้รวมกันประมาณ 1,100 ล้านหยวน หรือราว 5,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในจีนมีการถกเถียงเรื่อง “การค้าขายในวัด” มานาน บางคนมองว่าวัดเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับปฏิบัติธรรม จึงไม่ควรกลายเป็นเหมือนตลาด
แต่อีกฝ่ายเห็นว่า การทำกิจกรรมเชิงพาณิชย์เป็นเรื่องยอมรับได้ หากไม่เกินขอบเขต เพราะช่วยให้วัดเลี้ยงตัวเองได้ รักษาวัฒนธรรม และปรับตัวให้เข้ากับสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป
ความเป็นไปได้ของการปฏิรูป
นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญอย่าง เหมิง เหลียงแห่งมูลนิธิเมิ่งจื๊อมองว่า กรณีซื่อ อาจกระตุ้นให้รัฐบาลยกเครื่องการจัดการสถาบันศาสนา การปฏิรูปอาจรวมถึงการห้ามวัดเข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรงในการประมูลอสังหาริมทรัพย์ การจำกัดการใช้เครื่องหมายการค้า และการกำหนดให้วัด ต้องนำรายได้จากการแสดงของพระสงฆ์ไปสมทบทุนสวัสดิการสาธารณะ
แนวคิดนี้จะต่อยอดจากแนวทางของรัฐในปี 2017 ที่เน้นการรักษาสถานะไม่แสวงหากำไร ป้องกันทุนเอกชนแทรกแซงศาสนา และปรับปรุงการกำกับทางการเงิน
แต่ที่ผ่านมา วัดไม่ได้ถูกมองว่าเป็นนิติบุคคลหรือหน่วยงานสาธารณะ ทำให้ติดอยู่ใน “พื้นที่สีเทา” ทางกฎหมาย และเปิดช่องให้เกิดการทุจริตได้ง่าย
ตามความเห็นของเหมิง กรณีของหลวงจีนซื่อ หย่งซิ่น อาจกระตุ้นให้เกิดการปฏิรูป เพื่อกำหนดให้การจดทะเบียนทางกฎหมาย และการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินเป็นภาคบังคับ และจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแล ที่ประกอบด้วยตัวแทนจากรัฐบาล ผู้ศรัทธา และสมาคมพุทธศาสนา
นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการบริหารจัดการวัดในจีน เพื่อสร้างสมดุลระหว่าง “การรักษาศรัทธาและวัฒนธรรม” กับ “ความจำเป็นทางเศรษฐกิจ”
เจ้าอาวาสใหม่กับทิศทางข้างหน้า
ขณะที่ซื่อ หย่งซิ่นกำลังถูกสอบสวน วัดเส้าหลินในปัจจุบันจึงแต่งตั้งเจ้าอาวาสใหม่ คือ“ซื่อ ยิ่นเล่อ” (Shi Yinle) อดีตเจ้าอาวาสวัดไป๋หม่าในนครลั่วหยาง ซึ่งมีภาพลักษณ์เรียบง่าย เน้นสมดุลระหว่างการปฏิบัติธรรมกับการทำเกษตร
หลายคนคาดหวังว่า เขาจะนำวัดกลับสู่เส้นทางที่เน้นจิตวิญญาณมากขึ้น แต่ก็ยังมีเสียงตั้งข้อสงสัยว่า การเปลี่ยนตัวผู้นำเพียงอย่างเดียว จะเพียงพอหรือไม่
สำหรับคนในท้องถิ่น บางคนมองว่าซื่อ หย่งซิ่นเคยสร้างคุณประโยชน์ด้านเศรษฐกิจให้เหอหนาน ขณะที่อีกหลายคนไม่พอใจวิธีการของเขามานาน โดยจำนวนผู้เยี่ยมชมวัด “ลดลง” ตั้งแต่การสอบสวนเจ้าอาวาสซื่อเป็นที่เปิดเผย แม้เป็นช่วงฤดูท่องเที่ยวหลักก็ตาม ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงผลกระทบในแง่ลบต่อภาพลักษณ์หรือความนิยม
อย่างไรก็ตาม สำหรับนักเรียนกังฟูและนักท่องเที่ยวต่างชาติบางส่วน เสน่ห์ของเส้าหลินยังคงอยู่ในประสบการณ์ด้านวินัย ความแข็งแกร่ง และการพัฒนาตน มากกว่าประเด็นทางศาสนา
มารีนา มามีเชวา ชาวรัสเซียวัย 26 ปี ซึ่งเคยใช้เวลา 2 เดือนในเมืองเติงเฟิงเพื่อฝึกกังฟู กล่าวว่า เธอไม่รู้สึกแปลกใจกับการสอบสวนพระซื่อ หย่งซิ่น แต่เหตุการณ์นี้ ก็ไม่ได้ทำให้ประสบการณ์ของเธอหม่นหมองลง
“ฉันไม่ได้เชื่อมโยงกังฟูกับศาสนามากนัก ฉันมองในแง่ของความสมดุล วินัย การพัฒนาตนเอง และความแข็งแกร่ง มากกว่าความเชื่อทางศาสนา” มามีเชวากล่าว โดยความสนใจในกังฟูของเธอนั้น มีมาตั้งแต่สมัยยังเด็ก