ถึงเวลากัมพูชากลับไปง้อจีน วิเคราะห์เบื้องหลังเจ้าสีหมุนี-ฮุน มาเนตเยือนจีน
มีเรื่อง "น่าสงสัย" อยู่เรื่องหนึ่งเกี่ยวกับประมุขและนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา คือทั้งสองคนเดินทางไปจีนในช่วงเวลาเดียวกัน
เจ้าสีหมุนีเดินทางไปพร้อมกับพระราชมารดาไปถึงปักกิ่งแล้วตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคมเพื่อจะตรวจสุขภาพประจำปี และจะอยู่ถึงวันที่ 3 กันยายน เพื่อร่วมฉลองวันประกาศชัยชนะของจีนในสงครามต่อต้านญี่ปุ่น
ส่วน ฮุน มาเนต จะเข้าร่วมประชุมองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (SCO) ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม - 1 กันยายน
กรณีของเจ้าสีหมุนีหลายคนอาจจะสงสัยว่าไปจีนเพื่อตรวจสุขภาพจริงหรือ? ผมขอวิเคราะห์ว่า "น่าจะจริง" เพราะไปประจำทุกปี แม้จะเจ้าสีหนมุนีจะคุยกับผู้นำจีนบ้าง แต่ไม่มีบารมีพอที่จะทำอะไรในบ้านเมืองตัวเอง เพราะอำนาจอยู่ในมือของเครือข่ายตระกูลฮุน
แม้เจ้าพ่อคือเจ้าสีหนุจะได้รับการสนุบสนุนทางการเมืองจากจีนอย่างเข้มข้น แต่นั่นคือสีหนุที่ช่ำชองในการเล่นการเมืองและมีบารมีสูง จีนจึงลงทุนด้วยได้ แต่ไม่ใช่กับ "คนบันเทิง" แบบสีหมุนีที่ไม่ชอบยุ่งการเมืองแต่สนใจเรื่องศิลปะการแสดง และในฐานะกษัตริย์ได้แต่อยู่เป็นเจว็ดไปวันๆ ไม่สามารถใช้ Royal prerogative ได้
สภาพของเจ้าสีหมุนีนั้นเหมือน "พระเจ้าเหี้ยนเต้" ที่ฮุน เซน คือ "ตั๋งโต๊ะ" ตั้งขึ้นมาเอามานั่งเป็นหุ่นเชิดอย่างนั้น แม้ "ตั๋งโต๊ะ" จะสิ้นไปแล้วก็ตาม แต่พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็จะยังนั่งบนบัลลังก์ต่อโดยไร้อำนาจเช่นเดิม
ยังไม่นับการที่เจ้าสีหมุนีไม่ได้สมรสและไม่มีทายาท ดังนั้น จีนไม่สามารถใช้งานสีหมุนีได้เลย เว้นแต่ให้เกียรติในฐานะประมุขเอาไว้ราวกับเอาไว้ระลึกถึง "วันชื่นคืนสุข" คราวที่ยังมีเจ้าสีหนุผู้พ่อเอาไว้เป็นมิตรคู่ใจ
ดังนั้น การไปจีนของเจ้าสีหมุนีไม่มีเล่ห์กลทางการเมือง แต่ก็แสดงให้เห็นเหมือนกันว่า "จีนกับเจ้าเขมรยังสนิทสนม" แม้จะมีข่าวเรื่องเขมรแปรพักตร์
พูดถึงเขมรแปรพักตร์แล้วหันไปเลียสหรัฐอเมริกา ตอนนี้ ฮุน มาเนต กลับมาเลียจีนซะอย่างนั้น
ไม่เพียงเข้าร่วมการประชุม SCO ซึ่งถือเป็นกลุ่มพันธมิตรฝ่ายตรงข้ามกับสหรัฐฯ (สหรัฐฯ นั้นอยากรู้เรื่องการประชุมนี้มาก ถึงขนาดเคยบากหน้ามาของสังเกตการณ์แต่ถูกปฏิเสธอยา่งไร้เยื่อใย)
แต่เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม (1 วันก่อนเจ้าสีหมุนีกับพระมารดาจะไปถึงปักกิ่ง) สื่อของจีนคือ 中国日报网 ยังรายงานเรื่องบทความของ ฮุน มาเนต ที่เขียนชื่นชมที่ประชุม SCO กับเจ้าภาพจีนเสียหยดย้อย ราวกับลืมไปแล้วว่าตนรับมีดจากสหรัฐฯ ไปแทงข้างหลังเจ้าภาพเจ้าภาพอย่างไร
บางส่วนของบทความ/รายงานข่าวมีดังนี้
โดยเริ่มจากการเกริ่นว่าจีนกับกัมพูชา "รักกันปานใด" ฮุน มาเนต ชี้ว่า "กัมพูชาและจีนมีมิตรภาพอันยาวนานและมั่นคง อันเป็นสายสัมพันธ์พิเศษที่ผู้นำทั้งสองประเทศได้ร่วมกันหล่อหลอมและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน มิตรภาพระหว่างกัมพูชาและจีนที่สืบทอดกันมายาวนานและมั่นคงนี้ ตั้งอยู่บนพื้นฐานความไว้วางใจทางการเมืองอันแน่นแฟ้น ความเคารพในเอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และการไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน มิตรภาพนี้จึงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ และได้พัฒนาเป็นมิตรภาพที่แข็งแกร่ง มิตรภาพนี้ได้วางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการสร้างประชาคมกัมพูชาและจีนที่พร้อมรับมือทุกสถานการณ์และมีอนาคตร่วมกันในยุคสมัยใหม่"
จากนั้น ฮุน มาเนต ก็เริ่มยอจีนด้วยการเอ่ยถึงเรื่องที่จีนรู้สึก "เปราะบาง" และต้องการ "หาแนวร่วม" มากเป็นพิเศษคือบูรภาพภายในของชาติจีน โดยกล่าวย้ำเพื่อหวั
งที่จะทำให้จีนตัวลอยว่า "กัมพูชายึดมั่นในหลักการจีนเดียวอย่างเคร่งครัด และเชื่อว่าประเด็นที่เกี่ยวข้องกับไต้หวัน ฮ่องกง ทิเบต และซินเจียง เป็นกิจการภายในของจีน จีนสนับสนุนกัมพูชาอย่างแข็งขันในการสำรวจเส้นทางการพัฒนาที่เหมาะสมกับสภาพการณ์ของประเทศ"
จากนั้นก็สรรเสริญบุญคุณของจีนที่ริเริ่มโครงการเศรษฐกิจต่าๆ ให้กัมพูชา และบอกว่า "ด้วยวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ร่วมกันและความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างสองประเทศได้เติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา"
จากนั้นก็ย้ำเรื่องความเป็นพันธมิตรด้านการค้า ทั้งๆ ที่กัมพูชาเพิ่งจะหักหลังจีนไปเข้าทรัมป์เพราะเรื่องนี้ไปหยกๆ โดยบอกว่า "นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังคงใช้ประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน (AFTA) อย่างเต็มที่ กัมพูชาสนับสนุนฮ่องกงและจีนในการเข้าร่วม RCEP และยินดีที่การเจรจาเกี่ยวกับพิธีสาร FTA 3.0 ฉบับปรับปรุงระหว่างอาเซียนและจีนเสร็จสิ้นลง ซึ่งจะช่วยกระชับความร่วมมือในภูมิภาคให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น""
หลังจากพรรณนาความดีความชอบของจีนต่อกัมพูชา (และในทางกลับกันแล้ว) ฮุน มาเนต ก็หวังใจไว้ว่า "เมื่อมองไปในอนาคต กัมพูชามีความยินดีที่จะกระชับความร่วมมือกับจีนในด้านต่างๆ ต่อไป นำมาซึ่งผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมให้กับประชาชนของทั้งสองประเทศ และร่วมกันส่งเสริมการสร้างภูมิภาคที่สันติ มั่งคั่ง และบูรณาการมากขึ้น"
ครับ ฮุน มาเนต ยังร่ายอีกยาว แต่ที่เลียจีนกันเห็นๆ ก็ส่วนนี้ และย้ำในท้ายที่สุดว่า “มองไปข้างหน้า กัมพูชาจะทำงานอย่างใกล้ชิดกับจีนและพันธมิตรหลักเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทวิภาคีและพหุภาคีผ่านกรอบการทำงาน" - ซึ่งก็คือประกาศว่ากัมพูชาไม่ได้หันหลังให้จีนหรอกนะ แต่เอ่ยถึง "และพันธมิตรหลัก" นี่ไม่รู้ว่าหมายถึงใคร เพราะจะหมายถึงจีนก็คงไม่ใช่
แม้มันจะเป็นการเชลียร์อย่างออกนอกหน้า แต่จีนก็รับได้เพราะการนำมาเผยแพร่ในสื่อของทางการ คือ 中国日报网 เท่ากับว่าจีน "ไม่น่าจะติดใจอะไร" และอย่างที่ผมวิเคราะห์ไปก่อนหน้านี้ก็คือ จีนเสียกัมพูชาให้มหาอำนาจอื่นไม่ได้ ดังนั้นเมื่อกัมพูชาอุตส่าห์บากหน้ามา "จิ้มก้อง" จีนอีกครั้งแม้จะพกมีดไว้ข้างหลัง จีนก็ต้องต้อนรับขับสู้ไว้
เรื่องนี้ถือว่าสะท้อนความใจกว้างของจีนเหมือนกัน เพราะจีนถือแนวทาง "มิตรประเทศที่เท่าเทียม" ก็จริง แต่ในทางปฏิบัติแล้วจีนมีความเป็น "พี่ใหญ่" สูง แม้ "น้องรัก" จะหักหลังแต่พี่ใหญ่ก็พร้อมจะให้อภัย เพราะร่างกายพี่และน้องพ่วงติดกันในภูมิรัฐศาสตร์เดียวกัน ไม่อาจจะหันหลังห้กันและกันได้
รัฐบาจีนที่เจอกับความดื้อด้านของเขมรครั้งแล้วครั้งเล่า จึงได้แต่ "รับมีด" ด้วยความเต็มใจ ราวกับ "เฉียวฟง" วีรบุรุษผู้องอาจแห่งนิยายกำลังภายในของกิมย้งเรื่อง "แปดเทพอสูรมังกรฟ้า" ที่ชีวิตต้อง "หักมุม" ครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่ "จีนที่ไม่ใช่รัฐบาลจีน" นั้นยังระแวงกัมพูชาเอาการ
ผมจะยกตัวอย่างบทความจาก 中华网 เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม เรื่อง "การที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชาและพระมหากษัตริย์เสด็จเยือนประเทศจีนในเวลาเดียวกันหมายความว่าอย่างไร?" ที่เขียนโดยนักวิเคราะห์คนหนึ่ง
บทความสรุปง่ายๆ ว่า "นี่ไม่ใช่แค่การเยือนทางการทูตธรรมดาๆ แต่เป็นเหมือนการพิจารณาล่วงหน้าที่วางแผนมาอย่างรอบคอบและมีความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่เบื้องหลัง"
"กัมพูชาอาจดูสงบภายนอก แต่ลึกๆ แล้วกลับเต็มไปด้วยการคิดคำนวณ กัมพูชาถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากหลายประเทศ และแม้จะเน้นความร่วมมือเพียงผิวเผิน แต่ที่จริงแล้วกำลังพิจารณาถึงวิธีการสร้างประโยชน์สูงสุด"
"การเยือนจีนครั้งสำคัญครั้งนี้อาจเป็นความพยายามทดสอบขีดจำกัดของจีน กัมพูชากำลังพยายามประเมินว่าจีนเต็มใจที่จะก้าวไปไกลแค่ไหน การวางตัวให้สมดุลเช่นนี้ถือเป็นกลยุทธ์ที่ชาญฉลาดอย่างยิ่งในเกมมหาอำนาจ แต่ก็ต้องมีการบงการบางอย่างด้วยเช่นกัน"
"เราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าความภักดีของกัมพูชาจะคงอยู่ตลอดไปเพียงเพราะความกระตือรือร้นชั่วครู่ แม้กัมพูชาต้องการความช่วยเหลือจากจีน แต่กัมพูชาก็กำลังแสวงหาผลประโยชน์สูงสุดของตนเองเช่นกัน เราต้องเข้าใจว่าความร่วมมือของกัมพูชาไม่ใช่แค่มิตรภาพผิวเผิน แต่อาจมีแผนการที่ซับซ้อนกว่านั้นอยู่เบื้องหลัง"
"ดังนั้น เราต้องรักษาความตื่นตัวเอาไว้ เราต้องไม่เพียงแต่มองความร่วมมือและมิตรภาพอย่างผิวเผินเท่านั้น แต่ต้องระมัดระวังการคิดคำนวณที่แฝงอยู่ด้วย เจตนาของกัมพูชานั้นกว้างไกลและไม่จำกัดอยู่เพียงความร่วมมือระยะสั้น ความร่วมมือในด้านต่างๆ เช่น พลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน ถือเป็นเครื่องมือต่อรอง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของขวัญที่ได้มาโดยบังเอิญ แต่เป็นเดิมพัน"
"เราต้องอดทนและตื่นตัวอยู่เสมอเมื่อต้องเผชิญกับเจตนาอันกว้างไกลของประเทศนี้ อย่าคิดว่าการให้ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ เพียงเล็กน้อยจะทำให้คุณได้รับความจริงใจ ความจริงนั้นซับซ้อนเสมอ อย่าหลงเชื่อภาพลักษณ์ภายนอก หากคุณต้องการความร่วมมือระยะยาว คุณต้องระมัดระวัง การคำนวณของกัมพูชานั้นชาญฉลาดกว่าที่คุณคิด"
ต้องย้ำว่านี่คือทัศนะส่วนบุคคล ไม่ใช่ท่าทีของรัฐบาลจีน
แต่บทความนี้เหมือนจะสะท้อนความในใจของคนใจ และหากอนุมานว่ารัฐบาลจีนก็เป็นคน ก็ "อาจจะ" เก็บความในใจแบบนี้เอาไว้ด้วย เพียงแต่รัฐบาลจีนไม่เอาอารมณ์มาชี้นำ แต่ใช้ปฏิบัตินิยมมากกว่า
กระนั้นก็ตาม ทำให้ผมคิดอีกทีว่าแม้จีนจะเสียกัมพูชาไม่ได้ และยอมรับการเลียของประเทศนี้ แต่จีนก็คงไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกช่วงใช้โดยกัมพูชาง่าย แม้กัมพูชาจะเก่งเรื่องคำนวณเกมการเมือง แต่ไม่อาจะเหนือกว่าจีนแน่นอน
คำถามก็คือ จะอีกกี่ครั้งที่จีนจะให้อภัยกัมพูชา เพราะดูเหมือนคราวนี้กัมพูชาทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนอยู่ในภาวะหมิ่นแหม่ไปด้วย?
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน ผู้ช่วยบรรณาธิการบริหาร และบรรณาธิการข่าวต่างประเทศ The Better