ไทยไม่ทิ้งศักดิ์ศรีทหาร! "บิ๊กเล็ก" ย้ำดูแลเชลยตามเจนีวา–เร่งเคลียร์ศพทหารกัมพูชาอย่างสมเกียรติ

ไทยไม่ทิ้งศักดิ์ศรีทหาร! "บิ๊กเล็ก" ย้ำดูแลเชลยตามเจนีวา–เร่งเคลียร์ศพทหารกัมพูชาอย่างสมเกียรติ มั่นใจ GBC หนนี้ ไทยไม่เสียเปรียบ ยันโดรนล้ำน่านฟ้าส่วนใหญ่เป็นของกัมพูชา

วันที่ 4 ส.ค. 2568 มีการประชุมศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) ตามปกติ โดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางมาที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อเป็นประธาน และได้ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุม

พลเอก ณัฐพล ระบุว่า สำหรับวันที่ 4 ส.ค. จะเริ่มประชุม GBC มีการเริ่มเตรียมตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว และวันที่ 1 ส.ค. ก็เสนอเข้าสภาความมั่นคงแห่งชาติเพื่อให้เห็นชอบ จากนั้นก็เตรียมการประชุมในวันที่ 2 ส.ค. จึงงดประชุม ศบ.ทก.

โดยกองเลขาเดินทางถึงมาเลเซียเมื่อวันที่ 3 ส.ค. ซึ่งตอนบ่ายทางมาเลเซียได้ติดต่อประชุม 3 ฝ่าย รัฐมนตรีกลาโหมไทย-มาเลเซีย-กัมพูชา เป็นการพูดคุยเรื่องหลักการ และตนยังได้ชี้แจงเรื่องเชลยศึกตามที่กัมพูชาเรียกร้อง ว่าเราควบคุมอย่างดีตามอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 1 และได้ให้ ICRC และองค์กรระหว่างประเทศเข้าไปดูแลแล้ว ซึ่งเป็นที่พอใจว่าเราทำตามอนุสัญญา

หลักการของตนคือปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย เราจะได้โปร่งใสเปิดเผยตรวจสอบได้ ถึงแม้หลายคนจะมองว่าเราเป็นสุภาพบุรุษเกินไป แต่จะทำให้เราอยู่ได้และไม่ถูกนานาประเทศตำหนิ

เรื่องที่ 2 ที่พูดในวันนั้นคือ มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตในพื้นที่กัมพูชาบริเวณหน้าแนวเราเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าอยู่ในพื้นที่เรา เราได้ส่งกลับอย่างสมเกียรติ แต่ก็เสียใจแทนทหารกัมพูชาที่เสียชีวิต เพราะรัฐบาลเขาปฏิเสธว่าไม่ใช่ ถ้าวิญญาณทหารเขารับรู้ได้คงจะเสียใจ

แต่ที่ห่วงใยและได้พูดกับกลาโหมของกัมพูชาก็คือ ทหารที่เสียชีวิตจำนวนมาก ยังไม่ได้เก็บร่างกลับไป อยากให้มาเก็บศพอย่างถูกต้องและสมเกียรติของศักดิ์ศรีการเป็นทหาร

ตนเป็นทหาร ถึงแม้จะเป็นคู่กรณีกันก็ตาม แต่มองว่าเมื่อเสียชีวิตแล้วก็ควรให้เกียรติ เลยย้ำอีกครั้งว่าอยากให้เร่งมาเก็บ เพราะก็กังวลในเรื่องของสุขอนามัยหากนานไปอาจจะเกิดโรคระบาดได้

อีกเรื่องก็คือศักดิ์ศรีของการเป็นทหาร เราเป็นทหารเหมือนกันยามเสียชีวิตเราจะไม่หมิ่นศักดิ์ศรีกัน สนับสนุนให้ดูแลอย่างสมเกียรติ

จากนั้นวันที่ 3 ส.ค. ก็มาสรุปกันอีกครั้ง โดยคุยกับเหล่าทัพว่าตรงนี้ยืนยันไหม รับได้ไหม พอใจไหม สบายใจไหม ซึ่งผลก็คือสบายใจ และวันที่ 4 ส.ค. เริ่มประชุมแล้ว ใช้เวลาทั้งหมด 3 วันคือ 4, 5, 6 ส.ค. โดยตนได้สั่งกองเลขาให้ประชุมวันที่ 6 แค่ครึ่งวัน แล้วเอากลับมาเข้าสภาความมั่นคงแห่งชาติอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นวันที่ 7 ตนถึงจะไปสรุปลงนาม

การคุยครั้งนี้ตั้งเป้าว่าทิศทางต้องดีขึ้น ไทยไม่เสียประโยชน์ ขอให้ทุกคนมั่นใจได้ว่าเราจะทำเต็มขีดความสามารถ คณะที่ไปประกอบด้วย กระทรวงต่างประเทศ, มหาดไทย และเหล่าทัพทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้บัญชาการสูงสุด และผู้แทน ผบ.ทบ., ผบ.ทร., ผบ.ทอ. ไปร่วมประชุมด้วย เรียกว่าจะผ่านการพิจารณาอย่างรอบด้านจากทุกฝ่าย ทุกฝ่ายไม่ต้องกังวล ขอให้เชื่อมั่นในคณะของตน ทุกคนมีความรู้ความสามารถและสำคัญเลยคือรักชาติ คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ

ในส่วนของเรื่องโดรนมันปนกันอยู่เป็นของทั้งไทยและกัมพูชา แต่ส่วนมากที่ล้ำเข้ามาคือของกัมพูชา กองทัพภาคที่ 2 ได้รายงานมา ตนจะเอาเรื่องนี้มาประชุมที่ ศบ.ทก. ด้วย เรามีภาพและพิกัดที่เขาล้ำเข้ามา นอกจากนี้ยังมีคนไทยบางส่วนอาจยังไม่รู้ ว่าสั่งห้ามบินโดรนทั่วประเทศ ส่วนเมื่อวันที่ 3 ส.ค. พลโทหญิงมาลี โฆษกกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา ที่พูดว่าเห็นโดรนบินล้ำเข้ามาในกัมพูชา ตนมั่นใจ เขาคงเห็นโดรนของตัวเองที่บินกลับเข้าไป มันแสดงถึงวุฒิภาวะเขา เขาพูดเองก็เสียเอง

สำหรับสถานการณ์ยังเปราะบางอยู่ แต่จากข่าวปลอม อย่างเมื่อวันที่ 2 ส.ค. ก็มีข่าวว่าที่ศรีสะเกษทหารไทยจะปฏิบัติการ ซึ่งไม่เป็นความจริง ตนตรวจสอบกับกองทัพแล้ว เขาบอกยังไม่ได้ทำอะไร ตนก็เคารพการเจรจาหยุดยิงมาตลอด เข้าใจว่าฝ่ายกัมพูชาก็ได้ข่าวปลอมนี้เหมือนกัน วันที่ 3 ส.ค. เขาเลยเอาข่าวปลอมนี้มาตั้งเป็นเรื่องว่า ฝ่ายไทยมีการเตรียมการ แบบนี้สักวันหนึ่งมันอาจจะเกิดกระทบกระทั่งกัน ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องไม่น่าจะเกิดขึ้น

ในยามนี้ต้องรวมใจเป็นหนึ่ง แค่ข่าวปลอมของกัมพูชาเราต้องแก้ปัญหากันรายวันแล้ว แล้วยังมาเจอข่าวปลอมของเราเองอีก มันทำให้ฝ่ายความมั่นคงหนักใจมาก เข้าใจว่าทุกคนห่วงอยากจะช่วย แต่อยากให้ฟัง ศบ.ทก. เป็นหลัก อาจจะช้าแต่ก็เพราะอยากตรวจสอบให้ถูกต้อง เราต้องไม่เสียเครดิตในนานาประเทศ ไม่ให้กองทัพขาดความน่าเชื่อถือ แต่สื่อสามารถโต้กลับได้ทันทีเพื่อช่วยกองทัพได้ เดี๋ยวผิดรัฐแก้เอง ไม่ใช่ว่าหันมาตำหนิกันเองว่าเราตอบโต้ช้า ซึ่งจริงๆเราก็ไม่อยากต่อปากต่อคำกับคนอย่างนั้น

ทั้งนี้ ถ้าเขาเคารพผล GBC ก็ไม่น่าเป็นกังวล แต่ยอมรับเลยว่าประสบการณ์การรับราชการมาตลอดชีวิต ตนเพิ่งเจอคู่กรณีที่รับมือยากมาก เขาพูดอย่าง ทำอย่าง มันไม่ใช่วิสัยตน ตนยอมรับคำตำหนิ ตนคิดไม่ทันเขาจริงๆ เขาพูดแบบนี้ เขาจะทำอะไร ตนไม่ค่อยถนัดขอความเห็นใจ ประเด็นที่เราคุยกันไว้ถ้าตกลงแล้วก็น่าจะดีขึ้น ซึ่งมันจะไม่ได้จบทุกเรื่องทันที มันไปทีละขั้น ค่อยๆเป็นค่อยๆไป และประเมินความจริงใจของเขาว่าอยากกลับไปสู่สันติหรือไม่ ถ้าตรงนี้ตอบรับแล้วจะไปสู่ RBC ต่อไป ฝ่ายความมั่นคงจะได้สบายใจ ตนไม่ได้โยนภาระให้ทหาร แต่กองทัพรู้ดีที่สุด

ประเด็น 18 เชลยศึก เราดูแลอย่างดีแต่ต้องสอบสวนเลยยังปล่อยกลับไม่ได้แม้อีกฝั่งเรียกร้อง ถ้ามีความไว้ใจ 100% อาจส่งตัวกลับเร็วกว่านี้ แต่เขาบิดเบือนทุกวัน เราเลยต้องบันทึกหลักฐานให้ครบถ้วนรอบด้าน ตนเป็นคู่เจรจาถ้ามามัวต่อปากต่อคำ บรรยากาศจะเป็นยังไง อยากให้เห็นใจที่ตนดูเป็นสุภาพบุรุษ ขอโปรยข่าวปังๆ 2 บันทัด