โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ทลายกรอบ ASEAN WAY กับบทบาทอาเซียนคนกลาง แก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา

THE STANDARD

อัพเดต 13 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 12 ชั่วโมงที่ผ่านมา • thestandard.co
ทลายกรอบ ASEAN WAY กับบทบาทอาเซียนคนกลาง แก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา

เหตุปะทะรุนแรงระหว่างกองทัพไทยและกัมพูชา ที่บริเวณชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใกล้กับปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ตั้งแต่ในเช้าวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เมื่อฝ่ายกัมพูชาได้เปิดฉากยิงด้วยอาวุธหนัก ทำให้ฝ่ายไทยจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ

สถานการณ์บานปลายอย่างรวดเร็ว เมื่อกัมพูชารุกรานเข้าพื้นที่อยู่อาศัยของประชาชน รวมถึงโรงเรียนและโรงพยาบาล ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนไม่น้อย นอกจากนี้ยังมีกระสุนปืนใหญ่จำนวนหนึ่งพลาดเป้าตกในพื้นที่ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งกองทัพไทยยืนยันว่า ‘ไม่ได้เป็นฝ่ายยิง’

ทางรัฐบาลไทยได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงต่อสื่อมวลชนนานาชาติว่า ไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน แต่กำลังทำหน้าที่ปกป้องความมั่นคงของประเทศ ในขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ‘อันวาร์ อิบราฮิม’ ได้เรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายยุติการยิงและหันหน้าเข้าสู่การเจรจาสันติวิธี เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจลุกลามไปยังภูมิภาค

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีมาเลเซียมาเป็นตัวกลางที่ช่วยไกล่เกลี่ย แต่ก็ยังทำให้ประชาชนหลายคนเกิดคำถามอยู่ดีว่า “แล้วอาเซียนมีไว้เพื่ออะไร” เมื่อสมาคมมีทั้งหมด 10 ประเทศ แต่กลับมีเพียงประเทศเดียวที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ในเวลาที่เกิดวิกฤตความขัดแย้งรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ระหว่างประเทศสมาชิกในภูมิภาคเช่นนี้
จุดเริ่มต้นของ ‘สมาคมอาเซียน’ เพื่อเสถียรภาพของภูมิภาค

ภายหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งส่วนใหญ่เคยเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก ยกเว้นประเทศไทย ต่างได้รับเอกราช แต่อิสรภาพที่เพิ่งได้รับมา ก็ไม่ได้มาพร้อมกับสันติภาพ เนื่องจากประเทศต่างๆ ยังคงเผชิญกับปัญหาหลากหลาย ทั้งข้อพิพาทเรื่องพรมแดน ความมั่นคงภายใน และลัทธิคอมมิวนิสต์ที่แผ่ขยายเข้ามาในภูมิภาค

หนึ่งในความพยายามด้านความมั่นคงในช่วงแรก คือ การจัดตั้ง ‘องค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia Treaty Organization) หรือ ซีโต้ (SEATO) ในปี 1954 เพื่อต่อต้านการแพร่ขยายของคอมมิวนิสต์ แต่มีเพียงประเทศไทยและฟิลิปปินส์เท่านั้น ที่เป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่สมาชิกส่วนใหญ่เป็นประเทศตะวันตก รวมถึงยังไม่สามารถสร้างกลไกความร่วมมือที่สอดคล้องกับภูมิภาคได้

ในปี 1961 ประเทศฟิลิปปินส์, ไทย และสหพันธรัฐมลายา ได้ร่วมกันจัดตั้งองค์กรความร่วมมือที่มีชื่อว่า ASA (Association of Southeast Asia) โดยลงนามที่ปฏิญญากรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ในปีเดียวกัน เพื่อรักษาสันติภาพ เสรีภาพ และพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมร่วมกัน

ต่อมาในปี 1963 ประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และสหพันธรัฐมลายา ได้ร่วมกันจัดตั้งองค์กร มาฟิลินโด (Maphilindo) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อใช้กระบวนการปรึกษาหารือและฉันทามติ โดยได้รับการสนับสนุนจากแนวคิด เอเชียเพื่อชาวเอเชีย ของประธานาธิบดีซูการ์โนของอินโดนีเซีย

แต่ก็เกิดปัญหาความขัดแย้งทางดินแดน จากการจัดตั้งประเทศมาเลเซีย ที่รวมพื้นที่ ซาราวักและซาบาห์เข้ากับประเทศ ทำให้เป็นจุดแตกหักขององค์กรดังกล่าว

จากบทเรียนของความล้มเหลวในการรวมตัวครั้งที่ผ่านมา ทำให้ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน (ซึ่งในบทความจะใช้คำว่า สมาคมอาเซียน) ถูกจัดตั้งขึ้นมาด้วยข้อตกลงและความจริงจังของสมาชิก โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 1967 ณ กระทรวงการต่างประเทศของประเทศไทย

การรวมตัวกันครั้งนี้เกิดจากการลงนามของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจาก 5 ประเทศ ได้แก่ อาดัม มาลิก (อินโดนีเซีย), ตุนกู อับดุล ราซัก บิน ฮุสเซน (มาเลเซีย), นาซิโซ รามอส (ฟิลิปปินส์), เอส ราชารัตนัม (สิงคโปร์) และพันเอก (พิเศษ) ถนัด คอมันตร์ (ประเทศไทย)

รัฐมนตรีจากทั้ง 5 ประเทศดังกล่าว ได้ร่วมลงนามในเอกสารสำคัญที่เรียกว่า ‘ปฏิญญาอาเซียน’ หรือ ปฏิญญากรุงเทพ ซึ่งกำหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของสมาคมไว้อย่างชัดเจน ดังนี้

1. ส่งเสริมความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม เพื่อสร้างรากฐานสู่สันติภาพในภูมิภาค

2. ส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บนพื้นฐานของหลักนิติธรรมและกฎบัตรแห่งสหประชาชาติ

3. เสริมสร้างความร่วมมือและให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม วิชาการ และการบริหาร

4. สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านการศึกษา อาชีพ และวิชาการ

5. ร่วมมือกันพัฒนาเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การค้า การขนส่ง การสื่อสาร รวมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

6. สนับสนุนการเรียนรู้และศึกษาภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

7. ประสานความร่วมมือกับองค์กรระดับภูมิภาค และนานาชาติที่มีจุดมุ่งหมายคล้ายคลึงกัน

ภายหลังการก่อตั้ง อาเซียนได้ขยายจำนวนสมาชิกอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม เข้าร่วมในวันที่ 8 มกราคม 1984, เวียดนาม เข้าร่วมในวันที่ 28 กรกฎาคม 1995, ลาวและเมียนมา เข้าร่วมในวันที่ 23 กรกฎาคม 1997 และกัมพูชา เข้าร่วมในวันที่ 30 เมษายน 1999

จาก 5 ประเทศที่จุดเริ่มต้น กลายเป็นประชาคม 10 ประเทศในปัจจุบัน และมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือและสร้างเสถียรภาพในภูมิภาคร่วมกัน

ที่มา: ASEAN Main Portal

‘กฎบัตรอาเซียน’ รัฐธรรมนูญของภูมิภาค

สมาคมอาเซียนเกาะกลุ่มอยู่ด้วยมาเป็นเวลาหลายสิบปี พร้อมกับข้อตกลงและหลักการต่างๆ พร้อมกับความเข้มแข็งของสมาคมที่มากยิ่งขึ้น จนในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2007 ในวาระครบรอบ 40 ปีของการก่อตั้งสมาคม ได้ลงนามรับรอง กฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter) ซึ่งเป็นกรอบทางกฎหมายร่วมกันของสมาคม และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 15 ธันวาคม ปี 2008

กฎบัตรอาเซียน ได้กำหนดโครงสร้าง หลักการพื้นฐาน และกลไกการดำเนินงานของอาเซียนไว้ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อให้การรวมกลุ่มมีเอกภาพ มีหลักนิติธรรม และสามารถตอบสนองต่อปัญหาต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการร่วมกับพัฒนาความมั่นคง เสถียรภาพทุกๆ ด้านภายในภูมิภาค

หนึ่งในหลักการสำคัญที่กฎบัตรอาเซียน คือ หลักไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน (Non-Interference Principle) ซึ่งปรากฏอยู่ใน ข้อ 2 วรรค 2 (จ) ของกฎบัตร โดยระบุให้ประเทศสมาชิก ไม่แทรกแซงกิจการภายในรัฐสมาชิกอาเซียน ซึ่งเป็นเสาหลักของ ASEAN WAY หรือ วิถีอาเซียน

ถึงแม้หลักการนี้จะช่วยรักษาเสถียรภาพของภูมิภาค แต่ก็กลายเป็นข้อจำกัดในสถานการณ์ความขัดแย้งหรือความรุนแรง นอกจากหลักการไม่แทรกแซงแล้ว กฎบัตรอาเซียนยังให้ความสำคัญกับการ แก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธีและหลักนิติธรรม โดยระบุไว้ใน ข้อ 2 วรรค 2 (ซ) ว่าประเทศสมาชิกจะต้องยึดมั่นต่อหลักนิติธรรม ธรรมาภิบาล หลักการประชาธิปไตยและรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้ ในข้อ 23-25 ของกฎบัตร ยังระบุถึงกลไกในการระงับข้อพิพาทอย่างสันติ ไม่ว่าจะเป็นการเจรจา ปรึกษาหารือ โดยสามารถให้ประธานอาเซียน เลขาธิการอาเซียน หรือใครก็ตามที่น่าเชื่อถือเป็นคนกลางเพื่อระงับข้อพิพาท

แต่ในความเป็นจริงแล้วกลไกตามกฎบัตรอาเซียนเหล่านี้ กลับแทบไม่เคยเกิดขึ้น เนื่องจากหากคู่กรณีข้อพิพาทไม่เห็นชอบในการให้บุคคลที่ 3 เข้ามาไกล่เกลี่ย

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญในกฎบัตรอาเซียน คือ การกำหนดให้อาเซียนเป็น เขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์และอาวุธทำลายล้างสูงทุกชนิด ตามความมุ่งประสงค์ของอาเซียน แม้ว่าจะไม่มีประเทศใดที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์โดยตรง แต่หลักการข้อนี้สำคัญต่อเสถียรภาพด้านความมั่นคงของภูมิภาค โดยเฉพาะในบริบทที่ความขัดแย้งชายแดนอาจลุกลาม หากไม่มีแนวทางควบคุมอาวุธหรือสร้างความเชื่อมั่นร่วมกัน

นอกจากนี้ ไม่เพียงแค่กฎบัตรอาเซียนเท่านั้นที่เน้นย้ำถึงหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในประเทศของรัฐสมาชิก แต่ยังมีสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia – TAC) ที่เน้นย้ำถึงหลักการดังกล่าวและการแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี

กฎบัตรอาเซียนจึงเปรียบเสมือน ‘รัฐธรรมนูญของภูมิภาค’ ที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างความร่วมมือ ความไว้วางใจ และกลไกการแก้ปัญหาที่ไม่ต้องพึ่งพาประเทศมหาอำนาจ

แต่หลักการเหล่านี้ก็ยังมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถทำได้จริง โดยเฉพาะเมื่อเกิดกรณีพิพาทที่ซับซ้อน และกระทบต่ออธิปไตยของประเทศสมาชิก

ที่มา: Department of Foreign Affairs, Republic of the Philippines / Facebook

‘ไม่แทรกแซง’ และ ‘ฉันทามติ’ ข้อจำกัดของ ASEAN WAY

นอกจาก ‘กฎบัตรอาเซียน’ ที่เป็นกรอบกฎหมายร่วมกันระหว่างชาติอาเซียนแล้ว ยังมีข้อกำหนดลักษณะวิถีของอาเซียน หรือ ASEAN WAY แม้จะความคล้ายคลึงกับกฎบัตรอาเซียน แต่วิถีของอาเซียนมีมานานตั้งแต่ก่อนก่อตั้งสมาคมอาเซียน ซึ่งเป็นวิธีการทำงานร่วมกันทางการทูตอย่างไม่เป็นทางการ

ด้วยความที่รัฐทุกรัฐต่างหวงแหนอำนาจอธิปไตยในพื้นที่ของตนเอง ข้อกำหนดของวิถีอาเซียน จึงกำหนดห้ามไม่ให้แทรกแซงกิจการภายในรัฐประเทศสมาชิก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อพิพาททางอธิปไตยขึ้น และได้กำหนดรูปแบบการขจัดความขัดแย้งเรื่องข้อพิพาทในอาเซียน 5 แนวทาง ได้แก่

  • การทูตแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย
  • การสร้างเครือข่าย
  • การลงมติว่าไม่ต้องเห็นตรงกัน (Agree to disagree)
  • การไกล่เกลี่ยโดยอาศัยบุคคลที่สาม
  • การยึดหลักเกณฑ์การปรึกษาหารือ และการใช้หลักฉันทามติ

หลักฉันทามติ (Consensus) คือ การที่ทุกฝ่ายต้องเห็นพ้องตรงกัน เพื่อรักษามิตรภาพระหว่างประเทศสมาชิก หรือเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะความสันติภาพและความมั่นคงภายในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งสมาคมอาเซียน ยึดหลักฉันทามติในการตัดสินใจประเด็นต่างๆ ร่วมกันมาโดยตลอด

หลักฉันทามติของสมาคมอาเซียน แตกต่างจากหลักการลงคะแนนเสียง หรือการโหวตเหมือนการรวมกลุ่มสมาชิกประเทศอื่นๆ โดยใช้วิธีการพูดคุยระหว่างสมาชิกอย่างไม่เป็นทางการเพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน หากมีประเทศสมาชิกใดแม้แต่ประเทศเดียวที่ไม่เห็นด้วย มตินั้นๆ ก็จะไม่สามารถดำเนินการต่อได้

ข้อดีของหลักฉันทามติ คือ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและรักษาน้ำใจของประเทศสมาชิก แต่ข้อเสีย คือ ทำให้การตัดสินใจร่วมกันในสมาคมอาเซียนมีกระบวนการตัดสินใจที่ใช้เวลานาน ทำให้เกิดความล่าช้า และอาจพลาดการผลักดันนโยบายที่สำคัญ

แม้สมาคมอาเซียนจะสามารถใช้กลไกการเจรจา หรือส่งตัวแทน เช่น ประธานอาเซียน เลขาธิการอาเซียน หรือบุคคลที่สามที่ได้รับการยอมรับ เข้าไปทำหน้าที่เป็นคนกลางเพื่อช่วยแก้ไขข้อพิพาทได้ตามที่ระบุไว้ในกฎบัตรอาเซียน

แต่ในทางปฏิบัติกลไกเหล่านี้กลับไม่สามารถดำเนินการได้จริง หากประเทศคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอม หรือปฏิเสธการแทรกแซงจากภายนอก ซึ่งสะท้อนข้อจำกัดของวิถีอาเซียน (ASEAN WAY) ที่เน้นความสมัครใจและฉันทามติเป็นหลัก โดยไม่มีบทลงโทษหรือมาตรการบังคับใช้เพื่อให้คู่กรณีต้องยอมรับกระบวนการเหล่านั้น

ข้อจำกัดนี้แตกต่างอย่างชัดเจนจากองค์กรระหว่างประเทศระดับภูมิภาคอื่น เช่น สหภาพยุโรป (European Union – EU) และ สหภาพแอฟริกา (African Union – AU) ที่มีโครงสร้างองค์กรในลักษณะกึ่งเหนือรัฐ (supranational หรือ intergovernmental with enforcement power)

ที่สามารถใช้กลไกทางกฎหมายหรือมาตรการตอบโต้ได้จริง ในกรณีที่ประเทศสมาชิกละเมิดพันธะสัญญาร่วม เช่น EU มี คณะกรรมาธิการยุโรป ที่สามารถเสนอให้มีการใช้มาตรา 7 แห่งสนธิสัญญาสหภาพยุโรป เพื่อระงับสิทธิ์การออกเสียงของประเทศสมาชิกที่ละเมิดหลักนิติธรรมหรือสิทธิมนุษยชน ซึ่งเคยถูกใช้กับโปแลนด์และฮังการี

ขณะที่ AU มี Peace and Security Council ที่สามารถส่งภารกิจติดตามข้อเท็จจริง (Fact-finding missions) เข้าไปในพื้นที่ขัดแย้ง และสามารถระงับสมาชิกภาพของรัฐที่เกิดรัฐประหาร หรือใช้อำนาจละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง

กลไกตามสหภาพทั้งสองไม่เคยมีปรากฏในสมาคมอาเซียน เนื่องจากการเลือกที่จะเคารพอธิปไตยของรัฐสมาชิก จึงไม่มีฝ่ายใดสามารถใช้อำนาจบังคับได้จริง แม้ในกรณีที่เกิดการปะทะกันระหว่างประเทศสมาชิกก็ตาม ทำให้สมาคมอาเซียนกลายเป็นเพียงเวทีหารืออย่างไม่จริงจัง จึงไม่สามารถจัดการกับวิกฤตร้ายแรงหรือเหตุละเมิดสิทธิมนุษยชนได้อย่างเป็นรูปธรรม

ที่มา: กรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ

ไทย-กัมพูชา ปัญหาในอดีตที่ไม่ได้รับการแก้ไข

หนึ่งในข้อพิสูจน์สำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า แนวทางวิถีอาเซียนนั้นไม่มีประสิทธิภาพ คือปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ไม่ใช่แค่ในสถานการณ์ปัจจุบัน แต่หลายครั้งที่ผ่านมา สมาคมอาเซียนไม่มีบทบาทสำคัญในการช่วยแก้ไขปัญหาเลย

ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ผ่านมา ข้อพิพาทบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร แม้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก (ICJ) จะตัดสินให้กัมพูชาได้พื้นที่ตัวปราสาทเขาพระวิหาร ในปี 1962 แต่บริเวณพื้นที่โดยรอบที่อยู่ติดกับตัวปราสาทราว 4.6 ตารางกิโลเมตร กลับไม่มีคำตัดสินที่ชัดเจน ส่งผลให้บริเวณชายแดนมีการปะทะกันมาโดยตลอด

จนกระทั่งในเดือนกรกฎาคม ปี 2008 กัมพูชาได้ยื่นขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกแก่องค์การ UNESCO โดยไม่ได้มีการปรึกษาหารือกับประเทศไทย ทำให้เกิดความตึงเครียดบริเวณชายแดน ทหารทั้งสองประเทศต่างยิงตอบโต้ปะทะกัน โดยต่างฝ่ายต่างกล่าวว่า อีกประเทศเป็นผู้รุกราน ทำให้สถานการณ์บานปลายข้ามปี และมีผู้เสียชีวิต

การปะทะรุนแรงมากขึ้นในช่วงวันที่ 4-7 กุมภาพันธ์ 2011 โดยมีการใช้อาวุธหนัก เช่น ปืนใหญ่ จรวด RPG หรือกระสุนระเบิดปะทะ ทำให้ต้องอพยพประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนกว่าหลายพันคนออกจากพื้นที่ และมีผู้เสียชีวิตทั้งทหารและพลเรือน รวมถึงตัวปราสาทบางส่วนได้รับความเสียหาย

ก่อนที่ในช่วงเดือนเมษายน จะขยายพื้นที่ปะทะไปยังบริเวณปราสาทตาควายและปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ที่ปัจจุบันเกิดเหตุปะทะกันอยู่ แต่สองปราสาทดังกล่าว ห่างจากบริเวณตัวเขาพระวิหารและบริเวณโดยรอบกว่าสิบกิโลเมตร

กัมพูชาได้ร้องเรียนไปทางศาลโลก เพื่อขอให้ตีความคำตัดสินเดิมในปี 1962 อีกครั้ง และขอให้มีมาตรการชั่วคราวให้ทหารไทยถอนกำลังออกจากพื้นที่พิพาท ต่อมาในวันที่ 18 กรกฎาคม 2011 ศาลโลกได้มีคำสั่งมาตรการชั่วคราวให้ทั้งสองประเทศถอนกำลังทหาร และตั้งเขตปลอดทหารรอบบริเวณตัวปราสาท โดยให้ผู้สังเกตการณ์จากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียนในขณะนั้นเข้าตรวจสอบ

แม้สมาคมอาเซียนจะพยายามเข้ามามีบทบาทในการเป็นตัวกลางช่วยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ความตึงเครียด ผ่านประธานอาเซียนในปี 2011 แต่รัฐบาลไทย ภายใต้การนำของ ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ ในขณะนั้น ไม่ยอมรับบทบาทของประเทศที่สาม และต้องการเจรจาแบบทวิภาคี

ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2013 ศาลโลกได้ตัดสินคำพิพากษาเดิม และให้พื้นที่โดยรอบบริเวณปราสาทเป็นของกัมพูชา เหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนจึงสงบลง และสองประเทศได้เจรจาทวิภาคีผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) จากข้อตกลง MOU 43 ในสมัยรัฐบาล ‘ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร’

จากการตกลงดังกล่าว แม้จะยังไม่มีพื้นที่บางส่วนที่ตกลงแนวเขตแดนกันอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ได้มีเหตุการณ์ปะทะรุนแรงเกิดอีก จนกระทั่งเหตุการณ์ในปัจจุบันในประเด็นข้อพิพาทเรื่องเขตแดนอีกครั้ง ในพื้นที่เดิม สถานการณ์เดิม และลักษณะที่คล้ายเดิม

ที่มา: kmer.voanews

ยอมรับบทบาทประเทศที่ 3 สัญญาณความเปลี่ยนแปลงของอาเซียน

จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ทั้งในปี 2011 และปี 2025 ทำให้เกิดคำถามซ้ำๆ ว่า “แล้วอาเซียนมีไว้ทำไม” เพราะในเมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรงระหว่างประเทศสมาชิกด้วยกันเอง แถมยังเป็นการละเมิดข้อตกลงสำคัญ รวมถึงหลักสิทธิมนุษยชนที่อาเซียนเองก็เคยร่วมลงนามไว้ แต่สุดท้ายประเทศอื่นๆ กลับนิ่งเฉย ไม่มีท่าทีจะช่วยคลี่คลายสถานการณ์อย่างจริงจัง

เหตุผลหลักอาจมาจากหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในของแต่ละประเทศ ซึ่งถือเป็นหลักที่อาเซียนยึดมาโดยตลอด ทำให้เวลาที่เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศสมาชิก อาเซียนจะมองว่าเป็นเรื่องทวิภาคี ไม่ควรยื่นมือเข้าไปยุ่ง ยกเว้นแต่ว่าทั้งสองฝ่ายจะร้องขอความช่วยเหลือ

แต่เหตุการณ์ในปี 2025 นี้ สถานการณ์ชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา ได้แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงสำคัญของสมาคมอาเซียน โดย อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนคนปัจจุบัน ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทในฐานะผู้ไกล่เกลี่ยระหว่างทั้งสองฝ่าย ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าของสมาคมอาเซียน

การเจรจาดังกล่าวเกิดขึ้นในวันที่ 28 กรกฎาคม เวลาประมาณ 15.00 น. ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ซึ่งผลการเจรจาสามารถตกลงให้มีการหยุดยิงในทันที โดยมีผลตั้งแต่เที่ยงคืนของวันที่ 28 กรกฎาคม 2025 พร้อมกับกำหนดนัดประชุมกองกำลังของทั้งสองประเทศในเช้าวันรุ่งขึ้น และวางแผนจัดการประชุม GBC (General Border Committee) ในวันที่ 4 สิงหาคม ณ กรุงพนมเปญ ภายใต้กรอบความร่วมมือตาม MOU 2543 ซึ่งเคยถูกแช่แข็งไปนานหลายปี

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ผลการเจรจาระหว่างประเทศผ่านประธานอาเซียนจะดูเหมือนเป็นไปในทิศทางที่ดีต่อสมาคมอาเซียนเอง และทั้งสองประเทศ แต่เมื่อการเจรจาเสร็จสิ้น ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา สถานการณ์ความรุนแรงก็ยังไม่คลี่คลายและปะทะกันอย่างต่อเนื่อง โดยฝ่ายกัมพูชาได้เสริมกำลังกองทัพเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยอาจหวังยึดพื้นที่ให้ได้ก่อนเที่ยงคืนตามข้อตกลงเจรจาดังกล่าว

หากพิจารณาผลการเจรจานี้ในมุมมองของสมาคมอาเซียน ก็จะเห็นได้ว่า ครั้งนี้มีความแตกต่างอย่างชัดเจนกับกรณีความขัดแย้งบริเวณชายแดนในปี 2011 ที่แม้อินโดนีเซียในฐานะประธานอาเซียนในขณะนั้น จะพยายามเป็นตัวกลางในการช่วยเจรจา แต่รัฐบาลไทยภายใต้การนำของ ‘อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ ยังคงยืนยันหนักแน่นในหลักการเจรจาทวิภาคี ปฏิเสธการให้ประเทศที่สามเข้ามาเป็นตัวกลาง และในท้ายที่สุดปัญหาก็ถูกดึงเข้าสู่กระบวนการศาลโลก

จึงสะท้อนถึงบทบาทเชิงบวกของสมาคมอาเซียน จากผู้สังเกตการณ์ตามกำหนดของศาลโลก สู่ผู้ไกล่เกลี่ยที่ได้รับการยอมรับจากทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ว่า ข้อจำกัดด้านการไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศสมาชิกนั้น กำลังจะถูกทบทวนใหม่อีกครั้ง

ในขณะที่ประเทศสมาชิกอื่นๆ ยังไม่มีท่าทีหรือแสดงจุดยืนที่ชัดเจน อาจมีเหตุผลว่า แต่ละประเทศเองก็เคยมีข้อพิพาท หรือความตึงเครียดกับสมาชิกอาเซียนอื่นๆ

เช่น ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลบริเวณหมู่เกาะสแปรตลีย์ (Spratly Island Dispute) ระหว่างฟิลิปปินส์ บรูไน เวียดนาม และมาเลเซีย รวมถึงประเทศอื่นนอกสมาคมอาเซียน แม้จะไม่รุนแรงเท่า

แต่ก็อาจเกิดการเปรียบเทียบหรือวิพากษ์วิจารณ์ทางการทูต ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสียหายทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึงเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการเข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยตรง เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีและเสถียรภาพโดยรวมของภูมิภาค

ดังนั้น หากมองในมุมสมาคมอาเซียน ก็เป็นสัญญาณที่ดีของบทบาทสมาคมอาเซียน ที่จะแสดงให้ทุกฝ่ายเห็นว่าไม่ได้เป็นเพียงแค่เวทีพูดคุยเชิงสัญลักษณ์ แต่เริ่มพัฒนาเข้าสู่สมาคมระดับภูมิภาคที่สามารถแก้ไขวิกฤตปัญหาได้จริง โดยไม่จำเป็นต้องให้ประเทศอื่นนอกภูมิภาคเข้ามาแทรกแซง

อย่างไรก็ตาม แม้เหตุการณ์นี้จะแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการเชิงบวกของสมาคมอาเซียน แต่ก็ยังต้องจับตาต่อไปว่าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก ไม่ว่าจะกับพื้นที่ใดในประเทศสมาชิก สมาคมอาเซียนจะยังมีบทบาทในฐานะคนกลางอย่างต่อเนื่องหรือไม่ และประเทศอื่นๆ จะแสดงจุดยืนที่ชัดเจนมากกว่านี้หรือไม่

และสมาคมอาเซียนควรจะมีกลไกการจัดการปัญหาข้อพิพาทที่เข้มแข็งกว่านี้หรือไม่ เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือและความมั่นคงในระดับภูมิภาค เช่นเดียวกับองค์กรความร่วมมืออื่นๆ ที่สามารถประสานความร่วมมือและจัดการกับวิกฤตของประเทศสมาชิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อ้างอิง:

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก THE STANDARD

อาลัย ‘วีรบุรุษชายแดน’ ปฏิบัติหน้าที่จนวาระสุดท้าย

9 ชั่วโมงที่ผ่านมา

“ผมแค่อยากยืนอยู่ข้างความถูกต้อง” นุนิว ชวรินทร์ แสดงความคิดเห็นถึงเหตุการณ์ ไทย-กัมพูชา

9 ชั่วโมงที่ผ่านมา

Zlatan Mindset แนวคิดแบบผู้ชนะ ลงมือทำแบบนักล่า ของ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช

9 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ถอดรหัสวิธีคิดแคมเปญเพื่อสุขภาวะเด็ก ไม่ใช่แค่สร้างสื่อ แต่สร้างอนาคต

9 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

แรงงานเขมร ร้องเรียน ไทยละเมิด-ใช้ความรุนแรงกับผู้ใช้แรงงาน

JS100
วิดีโอ

“วัชระ” ยื่นถอดดุษฎีบัณฑิต “ฮุน เซน” เหตุยิ_ถล่มไทย ลบชื่อ 18 สิงหาฯ นี้!1

BRIGHTTV.CO.TH

รอบรั้วการศึกษา (30 ก.ค.68)

สยามรัฐ

ส่งสัญญาณเตือน! โค้งสุดท้ายยื่นขอใช้พื้นที่ป่า “ไม่มีผ่อนผันอีก”!!

TOJO NEWS

เตือน “คนกรุงฯ” วันนี้หนักแน่ฝนตกร้อยละ 70 “เหนือ-อีสาน-ตอ.” ระวังน้ำท่วมฉับพลัน

เดลินิวส์
วิดีโอ

CIB ส่งขบวนรถลำเลียงถุงยังชีพสิ่งของจำเป็น เข้าพื้นที่ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ - ผู้ประสบภัยเหตุปะทะชายแดนไทย - กัมพูชา

สวพ.FM91

เดลินิวส์ 30 ก.ค.อ้วนจวกเขมรปลิ้นปล้อน ฟ้องปธ.อาเซียน-ผู้นำสหรัฐ-จีน

เดลินิวส์

รบ.ไทยไม่ตอบโต้หน่อยหรือ!กัมพูชาร้องโลกแบนสินค้าไทย กล่าวหาใช้ความรุนแรงกับแรงงานเขมร

Manager Online

ข่าวและบทความยอดนิยม

ทบ. คุมตัว 18 ทหารกัมพูชา หลังยอมจำนน ในพื้นที่ซำแต ศรีสะเกษ ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

THE STANDARD

เครือข่ายสันติศึกษาฯ เรียกร้องให้รัฐบาลไทยและกัมพูชาเคารพข้อตกลงหยุดยิง ใช้แนวทางสันติวิธีในการแก้ปัญหาความขัดแย้งชายแดน

THE STANDARD

“No side should resort to hurting or killing” เจฟ ซาเตอร์ แสดงความคิดเห็นถึงเหตุการณ์ ไทย-กัมพูชา

THE STANDARD
ดูเพิ่ม
Loading...