โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

Others

‘นักวิชาการธรรมศาสตร์’ แนะ วิธีเช็กสัญญาณเบื้องต้นที่ใครก็ทำได้ ช่วยสอดส่องผู้อพยพเสี่ยง ‘ฆ่าตัวตาย’

SMART SME

อัพเดต 13 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 13 ชั่วโมงที่ผ่านมา

นักวิชาการธรรมศาสตร์ ห่วงผู้อพยพเครียด-ซึมเศร้า ท่ามกลางสถานการณ์ที่บุคลากรสาธารณสุขมีจำกัด แนะวิธีให้ประชาชนช่วยกันสอดส่องสุขภาพจิตเบื้องต้น ผ่านการรับฟัง-พูดคุยด้วยคำถามสองระดับ ชง “กรมสุขภาพจิต” เร่งจัดทำ MHPSS แผนปฏิบัติต้นแบบ แจกจ่ายให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในศูนย์พักพิง พร้อม UP-Skill อสม. เป็นด่านหน้าคัดกรองสุขภาพจิตเบื้องต้น

รศ. ดร.อัจฉรา ชลายนนาวิน คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวถึงการดูแลสภาพจิตใจของผู้อพยพจากเหตุความรุนแรงชายแดนไทย-กัมพูชา ตอนหนึ่งว่า ขณะนี้มีพลเรือนที่ใช้ชีวิตอยู่ในศูนย์พักพิงจำนวน 705 แห่ง รวมแล้วไม่น้อยกว่า 1.8 แสนคน ในจำนวนนี้มีผู้ที่กำลังประสบกับภาวะซึมเศร้าสุ่มเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย และโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ (PTSD) ซึ่งจากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2568 ระบุว่า พบผู้ที่มีความเครียดสูง 1,603 ราย และผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูงถึง 231 ราย

ทั้งนี้ ในสถานการณ์เฉพาะหน้าที่บุคลากรสาธารณสุขมีจำกัด ประชาชนทุกคนสามารถช่วยกันสังเกตพฤติกรรมของคนรักหรือคนใกล้ชิดได้ด้วยการพูดคุยและรับฟัง เนื่องจากเนื้อหาในบทสนทนาจะมีการส่งสัญญาณของระดับความเครียดและความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายอยู่

รศ. ดร.อัจฉรา กล่าวว่า การสนทนากับผู้ที่มีความเครียดควรเริ่มต้นด้วยการรับฟัง เพื่อให้ผู้ที่กำลังมีภาวะได้มีโอกาสระบายและบอกเล่าความรู้สึกข้างในออกมา โดยผู้ฟังต้องไม่ตัดสินว่าสิ่งที่ผู้มีภาวะพูดนั้นถูกหรือผิดอย่างไร ที่สำคัญคือการถามถึงความคิดในสองระดับ ได้แก่ เคยคิดหรืออยากจะฆ่าตัวตายหรือไม่ ถ้าคู่สนทนาตอบว่าเคย ให้ถามต่ออีกว่า ได้คิดถึงวิธีการตายหรือรูปแบบการตายไว้หรือไม่

“ถ้าคู่สนทนาได้คิด วางแผน ออกแบบขั้นตอน หรือจินตนาการถึงวิธีการตายเอาไว้ ตรงนี้สะท้อนว่าเขากำลังอยู่ในภาวะซึมเศร้าระดับรุนแรง มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูง สิ่งที่ต้องดำเนินการคือต้องไม่ให้เขาอยู่คนเดียวโดยลำพัง หรือปลีกตัวหายไปโดยลำพัง จะต้องมีคนอยู่เป็นเพื่อนเขาอย่างน้อย 72 ชั่วโมง และถ้ายังไม่ดีขึ้น ให้ประสานงานเพื่อเข้าสู่การรักษาจากบุคลากรทางการแพทย์หรือจิตแพทย์ทันที” นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าว

นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปว่า ในสถานการณ์สุขภาพจิตที่มีความฉุกเฉินและขยายวงกว้าง แต่ละหน่วยงานซึ่งมีขอบเขตอำนาจหน้าที่ที่แตกต่างกัน จำเป็นต้องมาเป็นเจ้าภาพการทำงานในภารกิจนั้นๆ ตามความเชี่ยวชาญเฉพาะและความรับผิดชอบของตัวเอง แต่ต้องบูรณาการการทำงานร่วมกันทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติการในภาคสนาม โดยการดำเนินการทั้งหมดเพื่อสนับสนุนการคัดกรองด้านสุขภาพจิตให้กับผู้ที่อยู่ในศูนย์พักพิง

“อย่าง อสม. (อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) ก็ควรได้รับการอบรม upskill ให้สามารถใช้แบบประเมินสุขภาพจิตเบื้องต้นได้ เพื่อจะเป็นด่านหน้าในการช่วยเจ้าหน้าที่ช่วยสังเกตอาการเบื้องต้น หากพบว่ามีกลุ่มเสี่ยงหรือเข้าข่ายจะเป็นโรคซึมเศร้า ให้แจ้งเบาะแสประสานการส่งต่อไปยังทีมสุขภาพจิตเพื่อให้นักจิตวิทยาทำการประเมินต่อไป หรือบทบาทของนักสังคมสงเคราะห์จากภาคส่วนต่างๆ ควรสนับสนุนการคัดกรองทางสังคมและประเมินความเปราะบาง ผ่านแบบฟอร์มประเมินสุขภาพจิตเบื้องต้น เช่น แบบทดสอบภาวะซึมเศร้า PHQ-9 แบบสอบถามการควบคุมตนเอง (SRQ) แบบสังเกตพฤติกรรมเด็ก ฯลฯ เพื่อส่งต่อการรักษาไปยังทีมสุขภาพจิตเคลื่อนที่ หรือโรงพยาบาลที่มีผู้เชี่ยวชาญในการฟื้นฟูสภาพจิตใจและมีกิจกรรมกลุ่มบำบัด ซึ่งจะเชื่อมโยงไปยังการรักษาต่อเนื่องในระยะยาวต่อไป” รศ. ดร.อัจฉรา กล่าว

อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานจะต้องเริ่มต้นจากการจัดทำนโยบาย ซึ่งกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จะต้องเป็นแม่งานในการเร่งจัดทำแนวทางการสนับสนุนด้านสุขภาพจิตและจิตสังคม (MHPSS) ที่สอดคล้องกับองค์การอนามัยโลก (WHO) ซึ่งจะเป็นแผนหรือแนวปฏิบัติต้นแบบให้ผู้ปฏิบัติงานในศูนย์พักพิงจากทุกหน่วยงาน ใช้เป็นหลักยึดในการดำเนินงาน เบื้องต้นอาจจัดพิมพ์เป็นคู่มืออย่างง่าย หรือจัดทำเป็นอินโฟกราฟฟิก โปสเตอร์ติดในศูนย์อพยพ ตลอดจนสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์กลาง เช่น ระบบศูนย์ข้อมูลสุขภาพจิตในภาวะวิกฤตเพื่ออัปเดตแบบฟอร์ม เครื่องมือ และช่องทางการส่งต่อต่อไป

นอกจากนี้ ควรดำเนินการจัดอบรมเจ้าหน้าที่ภาคสนามให้พร้อมทำงานในภาวะฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นในระดับปฏิบัติการซึ่งต้องดูแลศูนย์พักพิงในพื้นที่โดยตรง อย่างสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) และโรงพยาบาลที่ต้องรับผิดชอบการจัดทีมเยียวยาจิตใจ (Crisis Response Team) เพื่อลงพื้นที่ประเมินและปฐมพยาบาลทางจิตใจ รวมไปถึงการให้แนวทางคำปรึกษาเบื้องต้น ขณะที่องค์กรทุกภาคส่วนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) องค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) หน่วยงานทางทหาร และตัวแทนจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ฯลฯ จะต้องมีโครงสร้างการบริหารภายในที่ระบุถึงบทบาทการประสานงานกับหน่วยสุขภาพจิตอย่างชัดเจนด้วย

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก SMART SME

Indy Arp Café แฟรนไชส์กาแฟอินดี้ ให้คุณเป็นเจ้าของธุรกิจโดยไม่ต้องลองผิดลองถูก

13 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ไม่มีแผ่ว! อุตสาหกรรมกาแฟไทยเติบโตแรงต่อเนื่อง ปี 68 ทะลุ 6.5 หมื่นล้าน

17 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความOthersอื่น ๆ

สมาคมประกันชีวิตไทย ย้ำชัดกรมธรรม์รายเดี่ยวคุ้มครองเสียชีวิตทุกกรณี

การเงินธนาคาร

ชวนร่วมงานนิสิตเก่ามุสลิมจุฬาฯ 16 ส.ค. นี้

ประชาชาติธุรกิจ

3 ยักษ์ใหญ่ขนส่ง SCGJWD , Flash Express & ไปรษณีย์ไทย ผนึกจุดแข็ง ส่ง Fuze Post บุกตลาด Cold Chain

SMART SME

MINT กำไรครึ่งแรกโต 22% โรงแรม-ร้านอาหารแกร่ง

หุ้นวิชั่น

แม็คโคร-โลตัส ภายใต้ ซีพี แอ็กซ์ตร้า จับมือ Seafood from Norway จัดแคมเปญ “Salmon Saturday เสาร์สุดฟิน ชวนกินแซลมอนนอร์เวย์”

Marketing Oops

“CORELLE DURANANO” แบรนด์เครื่องครัวคุณภาพจากสหรัฐอเมริกา ส่งกระทะนวัตกรรมใหม่ Uncoated Non-Stick บุกตลาดไทย เจาะกลุ่มคนรักสุขภาพ

Marketing Oops

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...