คลิปเสียงหลุดไทย-กัมพูชา สะท้อนการทูตวิถี "คุยลับ" แบบฉบับอาเซียน
Channel News Asia รายงานกรณีคลิปเสียงสนทนาทางโทรศัพท์ของนายกรัฐมนตรีไทย แพทองธาร ชินวัตร และสมเด็จฯ เตโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา รั่วไหลเมื่อประมาณกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ความสัมพันธ์ของไทยและกัมพูชามีแนวโน้มตึงเครียดมากขึ้น ขณะที่การเมืองภายในของประเทศไทยปั่นป่วน เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังผู้นำกัมพูชาปล่อยคลิปตัวเต็มความยาว 17 นาที พรรคภูมิใจไทยก็ประกาศลาออกจากพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้คณะรัฐมนตรีขาดเสถียรภาพมากที่สุดนับตั้งแต่เริ่มบริหารประเทศ
กัมพูชาอาจถูกประณามเรื่องมารยาททางการทูตที่ไม่อาจยอมรับได้ ขณะที่ผู้นำไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการยกหูโทรศัพท์แบบส่วนตัว โดยไม่ใช้ช่องทางการเจรจาทวิภาคีอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสเกิดความเสียหายได้มากกว่า ผลที่ตามมาเผยให้เห็นช่องโหว่ด้านโครงสร้างในการดำเนินการทางการทูตที่เพิ่มมากขึ้น เหตุการณ์นี้ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของช่องโหว่ด้านพิธีการ ซึ่งสร้างความเสี่ยงให้การทูตระดับรัฐดำเนินการผ่านวิธีที่ไม่มีเอกสาร ไร้ความรับผิดชอบ และไม่ได้รับการคุ้มครอง
Channel News Asia มองว่านี่คือภาพสะท้อนของ "การเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการทูต" ที่ผู้มีอิทธิพลไม่ใช่ฝ่ายบริหารอย่างเป็นทางการ หรือผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง โดยมักไม่มีคำสั่งหรือการกำกับดูแล หัวใจสำคัญของคดีไทย–กัมพูชา คือความไม่สอดคล้องกันของสถานะและอำนาจ นายกรัฐมนตรีแพทองธารเป็นหัวหน้ารัฐบาลไทยซึ่งมีส่วนรับผิดชอบโดยตรง ขณะที่ฮุน เซน นับว่ามีอำนาจทางการเมืองที่ไม่มีใครเทียบได้ แทนที่การสนทนาจะเกิดขึ้นกับฮุน มาเนต บุตรชายของเขา ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชาในปัจจุบัน แต่ฮุน เซนกลับเป็นผู้รับสาย บันทึกเสียง และเผยแพร่ต่อสาธารณะ
นี่คือรูปแบบหนึ่งของการทูตผู้นำแบบผสมผสาน ซึ่งอดีตผู้นำดำเนินการโดยไม่มีความรับผิดชอบที่ชัดเจน แต่ยังสามารถเข้าถึงอำนาจในการบริหารประเทศได้ สำหรับแพทองธาร การติดต่อโดยตรงกับฮุน เซนอาจดูเป็นธรรมชาติ เนื่องจากมีรากฐานมาจากสายสัมพันธ์ทางครอบครัวและประวัติศาสตร์ทางการเมือง แต่การหลีกเลี่ยงช่องทางอย่างเป็นทางการ ทำให้เธอเสี่ยงต่อชื่อเสียงและความเสี่ยงทางการเมือง และในที่สุดก็กลายเป็นอาวุธทางการเมืองที่ย้อนกลับมาทิ่มแทงตัวเธอเอง
อย่างไรก็ตาม วิธีการเช่นนี้เคยเกิดขึ้นบ่อยครั้งระหว่างประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มักพึ่งพาความสัมพันธ์ส่วนตัวและช่องทางการติดต่อที่ไม่เป็นทางการมาอย่างยาวนาน ในการจัดการความตึงเครียด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “วิถีอาเซียน” แต่เหตุการณ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาเน้นย้ำถึงความเสี่ยงของความไม่เป็นทางการ เมื่อขาดจุดยึดตามขั้นตอน ภูมิภาคนี้ไม่มีบรรทัดฐานหรือมาตรการป้องกันร่วมกันเพื่อควบคุมการใช้ช่องทางดังกล่าว ทำให้การทูตทวิภาคีตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกนำไปใช้แสวงประโยชน์ทางการเมือง
ทั้งนี้ เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เท่านั้น ในช่วงการบริหารงานครั้งแรกของทรัมป์ การมีส่วนร่วมระดับสูงโดยบุคคลที่ไม่เป็นทางการ เช่น จาเร็ด คุชเนอร์ และรูดี้ จูลิอานี มักหลีกเลี่ยงช่องทางทางการ ทำให้เส้นแบ่งอำนาจเลือนลางลง เมื่อบทบาทของกระทรวงการต่างประเทศลดน้อยลง สหรัฐฯ เองก็เสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงของอำนาจทางการทูตเช่นกัน
นี่คือการเตือนใจว่า แม้แต่ในระบบที่จัดตั้งขึ้นอย่างดีแล้ว บรรทัดฐานทางการทูตก็สามารถเสื่อมถอยได้ เมื่อผู้นำทางการเมืองปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศให้เป็นเรื่องส่วนตัว โดยไม่มีการตรวจสอบจากสถาบันที่มีประสิทธิผล
ความเงียบของสถาบันในอาเซียน
เหตุการณ์การปล่อยคลิปเสียงที่สะท้อนการแทรกแซงทางการเมืองภายในประเทศไทยของผู้นำกัมพูชา ยังเป็นการซ้ำเติมความไร้อำนาจหรือเสถียรภาพของสถาบันและกลไกต่าง ๆ ในภูมิภาคอาเซียน เช่น กฎบัตรอาเซียน และแนวปฏิบัติ เช่น ประธานอาเซียนที่หมุนเวียน หรือคำสั่งของเลขาธิการอาเซียน ซึ่งไม่สามารถแสดงบทบาทในการจัดการความขัดแย้งได้ และยังคงเงียบงัน แม้ความขัดแย้งจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
หลักการไม่แทรกแซงของอาเซียน แม้จะมีความสำคัญต่อการก่อตั้งและความมั่นคงขององค์กร แต่ในทางกลับกัน ก็หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงความชอบธรรมของผู้มีบทบาททางการเมืองแต่ละรายโดยตรง หรือแทรกแซงในสิ่งที่ถือเป็นเหตุการณ์ "ทวิภาคี"
ในมาเลเซีย การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองของมหาธีร์ โมฮัมหมัด มีลักษณะที่มักละเลยการประสานงานอย่างเป็นทางการ ในเมียนมาร์ รัฐบาล NLD ยังคงใช้รูปแบบผสมผสานของการทูตพลเรือนและช่องทางลับทางทหารก่อนการรัฐประหารในปี 2021 และในที่อื่น ๆ บุคคลสำคัญในราชวงศ์หรือผู้อาวุโสยังคงใช้อิทธิพลเชิงกลยุทธ์โดยไม่มีบทบาทอย่างเป็นทางการ