โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ธุรกิจ-เศรษฐกิจ

รู้จัก InvestHK ประตูสู่ฮ่องกง เชื่อมสตาร์ทอัพไทยสู่ทุน-โลก

Amarin TV

เผยแพร่ 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา
รู้จัก InvestHK ประตูสู่ฮ่องกง เชื่อมสตาร์ทอัพไทยสู่ทุน-โลก ปักหมุดฮ่องกง ลุยตลาดเอเชีย

สำหรับสตาร์ทอัพแล้ว เส้นทางจากไอเดียสู่การดำเนินธุรกิจจริงมักเต็มไปด้วยความท้าทายตั้งแต่ก้าวแรก การจัดหาทุนตั้งต้นเป็นอุปสรรคสำคัญไม่แพ้การสร้างทีมที่แข็งแกร่ง การเข้าถึงเครือข่ายพันธมิตรที่เหมาะสม หรือการทำความเข้าใจกฎระเบียบและวัฒนธรรมทางธุรกิจในตลาดเป้าหมาย และเมื่อมีเป้าหมายขยายสู่ต่างประเทศ ความซับซ้อนยิ่งทวีคูณ ทั้งในด้านข้อกฎหมาย การสร้างฐานลูกค้าใหม่ และการแข่งขันกับผู้เล่นท้องถิ่น แม้จะมีผลิตภัณฑ์หรือบริการที่โดดเด่นเพียงใด หากขาดโครงสร้างสนับสนุนที่ชัดเจนและเหมาะสม โอกาสในการเติบโตอาจสะดุดตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น

หนึ่งในแนวทางที่จะช่วยให้สตาร์ทอัพไทยก้าวข้ามข้อจำกัดเหล่านี้ คือการใช้หน่วยงานหรือระบบสนับสนุนจากต่างประเทศเป็นฐานเชื่อมต่อไปสู่ตลาดนานาชาติ โดย Invest Hong Kong (InvestHK) ถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่เปิดประตูสู่โอกาสดังกล่าวอย่างเป็นระบบของฮ่องกง ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการเงินที่สำคัญของโลก

ภายในงาน Techsauce Global Summit เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2568 คุณลู่ ชินหยง รองประธานอาวุโสฝ่ายธุรกิจสตาร์ทอัพจาก InvestHK ได้กล่าวถึงบทบาทของหน่วยงานภายใต้การกำกับของรัฐบาลฮ่องกงที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็น “สะพานเชื่อมธุรกิจ” จากทั่วโลกสู่ฮ่องกง จุดแข็งคือการให้บริการแบบครบวงจรโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ครอบคลุมตั้งแต่การให้ข้อมูลตลาด การให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ การเชื่อมโยงกับพันธมิตรและนักลงทุน ไปจนถึงการสนับสนุนด้านกฎหมาย การเงิน และโครงสร้างพื้นฐานทางธุรกิจ

ด้วยระบบสนับสนุนดังกล่าว สตาร์ทอัพสามารถลดอุปสรรคในช่วงเริ่มต้น เข้าถึงแหล่งทุนและเครือข่ายระดับนานาชาติ พร้อมปรับกลยุทธ์เพื่อเข้าสู่ตลาดใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ฮ่องกงไม่เพียงเป็นจุดหมายปลายทางทางธุรกิจ แต่ยังเป็นฐานสำคัญในการเร่งการเติบโตสู่เวทีโลก

รู้จัก InvestHK สะพานเชื่อมธุรกิจโลกสู่ฮ่องกง

Invest Hong Kong หรือ InvestHK เป็นหน่วยงานภาครัฐของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลฮ่องกง จัดตั้งขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมธุรกิจจากทั่วโลกสู่ฮ่องกง และสนับสนุนผู้ประกอบการที่ต้องการเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจในภูมิภาคนี้

คุณลู่ ชินหยง ระบุว่า จุดแข็งของหน่วยงานอยู่ที่การให้บริการแบบครบวงจรโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ครอบคลุมตั้งแต่การให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตลาด การให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ การเชื่อมโยงกับพันธมิตรทางธุรกิจและนักลงทุน ตลอดจนการสนับสนุนด้านกฎหมาย การเงิน และโครงสร้างพื้นฐานทางธุรกิจ เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินงานได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ

ปัจจุบัน InvestHK มีสำนักงานต่างประเทศ 34 แห่ง ครอบคลุมภูมิภาคสำคัญทั่วโลก รวมถึงสำนักงานในกรุงเทพฯ ซึ่งดูแลพื้นที่ประเทศไทย กัมพูชา เมียนมา และบังกลาเทศ ทำหน้าที่เป็นด่านหน้าของฮ่องกงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อประสานงานและอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ตลาดฮ่องกงได้อย่างราบรื่นและเป็นระบบ

พลิกสู่กลยุทธ์สองทาง รับธุรกิจ-ส่งออกโอกาส เชื่อมฮ่องกง-ไทย

คุณลู่ ชินหยง ระบุว่าในช่วงแรกของการดำเนินงาน Invest Hong Kong (InvestHK) มุ่งบทบาทด้าน Inbound เป็นหลัก เดินหน้าดึงดูดบริษัทจากต่างประเทศและจีนแผ่นดินใหญ่ให้เข้ามาตั้งสำนักงานหรือขยายธุรกิจในฮ่องกง โดยตั้งเป้าให้เมืองนี้เป็นศูนย์กลางการตั้งธุรกิจระดับภูมิภาค (Regional Headquarters) และเป็นประตูสู่ตลาดเอเชีย โดยเฉพาะเขตเศรษฐกิจพิเศษ Greater Bay Area (GBA)

แต่เมื่อภูมิทัศน์เศรษฐกิจและการแข่งขันระหว่างประเทศเปลี่ยนไป InvestHK จึงขยับจาก “ด่านรับ” สู่การเป็น “ผู้ส่งออกโอกาส” ผ่านกลยุทธ์ Outbound ที่ช่วยผลักดันบริษัทที่มีฐานอยู่ในฮ่องกง ไม่ว่าจะเป็นบริษัทท้องถิ่นหรือบริษัทต่างชาติที่ใช้ฮ่องกงเป็นฐานปฏิบัติการ ให้ขยายตลาดสู่ต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างล่าสุดคือการนำคณะผู้ประกอบการกว่า 17 บริษัทจากฮ่องกง เดินทางสู่ประเทศไทยเพื่อพบปะคู่ค้าศักยภาพ ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่เทคโนโลยี การเงิน บริการ การท่องเที่ยว อาหารและเครื่องดื่ม ไปจนถึงนวัตกรรมด้านสุขภาพ การมาเยือนงาน Techsauce Global Summit ครั้งนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงการหาลูกค้าหรือพันธมิตรเชิงพาณิชย์ แต่ยังมุ่งสร้างเครือข่ายกับนักลงทุน หน่วยงานรัฐ และผู้เล่นสำคัญในระบบนิเวศสตาร์ทอัพของไทย เพื่อปูทางสู่ความร่วมมือเชิงลึก อาทิ โครงการร่วมพัฒนา (co-development projects) การลงทุนร่วม (co-investment) และการทดสอบตลาด (market testing) ก่อนขยายการลงทุนเต็มรูปแบบ

การเดินเกมแบบ Inbound ควบคู่กับ Outbound ทำให้ฮ่องกงมีบทบาทสองทางพร้อมกัน คือเป็นทั้ง “ประตูสู่เอเชีย” สำหรับธุรกิจที่ต้องการบุกตลาดภูมิภาค และ “ฐานส่งออกธุรกิจ” สำหรับบริษัทที่ต้องการขยายสู่ภูมิภาคอื่น โมเดลนี้ยังเปิดทางให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยีระหว่างฮ่องกงกับประเทศปลายทาง พร้อมเพิ่มโอกาสให้ทั้งบริษัทฮ่องกงและคู่ค้าต่างชาติเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืนในตลาดใหม่

ฮ่องกงมีดีอะไร? ทำไมถึงเป็นศูนย์กลางผลักดันสตาร์ทอัพครบวงจร?

คุณลู่ ชินหยง ระบุว่า ฮ่องกงมีข้อได้เปรียบชัดเจนในฐานะจุดเริ่มต้นของสตาร์ทอัพ ด้วยระบบสนับสนุนที่ครอบคลุมทั้งธุรกิจเทคโนโลยีและธุรกิจที่ไม่ใช่เทคโนโลยี รองรับทุกช่วงการเติบโตตั้งแต่การจุดประกายไอเดียไปจนถึงการขยายสู่ตลาดโลก ผสานการเข้าถึงเงินทุนและเครือข่ายนักลงทุน พร้อมเปิดเสรีให้ผู้ประกอบการต่างชาติเข้าถึงได้ทุกสัญชาติ โดยไม่กำหนดเงื่อนไขการมีพาร์ตเนอร์ท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับบริษัทไทยที่ต้องการใช้ฮ่องกงเป็นฐานขยายธุรกิจสู่เวทีโลก การสนับสนุนครอบคลุมตั้งแต่การให้ทุน การสร้างเครือข่าย ไปจนถึงการให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์ เพื่อให้ผู้ประกอบการเริ่มต้นได้มั่นคงและต่อยอดสู่ความสำเร็จในระดับนานาชาติ

สำหรับสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี การช่วยเหลือเริ่มตั้งแต่โครงการ Ideation Program ที่มอบทุนตั้งต้นราว 100,000 ดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 400,000 บาท) เพื่อใช้จดทะเบียนบริษัท ทำวิจัยตลาด หรือสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์ ก่อนจะก้าวเข้าสู่ Incubation Program ซึ่งให้ทุนสูงสุด 1.3 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 5.2 ล้านบาท) สำหรับขยายทีมงาน วิจัยและพัฒนา ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ และทำการตลาด ภายใต้การดูแลและคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งสิทธิ์เข้าถึงพื้นที่ทำงานในศูนย์นวัตกรรม

เมื่อธุรกิจมีศักยภาพเติบโต โครงการ Acceleration & Overseas Expansion จะเข้ามาหนุนให้เข้าร่วมโปรแกรมเร่งการเติบโตระดับโลก เช่น Y Combinator หรือ Techstars เพื่อขยายเครือข่ายและเข้าถึงนักลงทุนต่างประเทศ

สถาบันหลักที่เป็นหัวใจของระบบนี้คือ Hong Kong Science Park (HKSTP) ซึ่งมุ่งเน้นเทคโนโลยีเชิงลึก เช่น วิศวกรรมขั้นสูง ไบโอเทค และเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อม และ Cyberport ที่เน้นเทคโนโลยีดิจิทัลอย่าง FinTech, e-commerce, AI และเกม จุดเด่นสำคัญคือเงินทุนทั้งหมดอยู่ในรูปแบบให้เปล่า (grant) ไม่ต้องคืน แม้โครงการไม่ประสบความสำเร็จ

สำหรับธุรกิจที่ไม่ใช่เทคโนโลยีหรือ SME ฮ่องกงก็มีมาตรการสนับสนุนที่ตอบโจทย์ เช่น SME Export Marketing Fund (EMF) เพื่อช่วยด้านการตลาด การสร้างแบรนด์ และการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในและต่างประเทศ รวมถึงTechnology Voucher Programme (TVP) ที่ช่วยให้ธุรกิจนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพ เช่น ระบบ e-commerce ระบบ CRM หรือระบบจัดการสต็อก ทั้งนี้ผู้ขอรับการสนับสนุนต้องดำเนินธุรกิจในฮ่องกงอย่างน้อยหนึ่งปีก่อน

จากศูนย์กลางการเงินสู่ศูนย์กลางนวัตกรรม

จากมาตรการสนับสนุนสตาร์ทอัพที่ครอบคลุมในทุกมิติ ฮ่องกงวันนี้จึงไม่ใช่เพียงศูนย์กลางการเงินเหมือนในอดีต แต่กำลังพัฒนาไปสู่การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและเทคโนโลยีครบวงจรที่มีความหลากหลายทางอุตสาหกรรม สตาร์ทอัพจากทั่วโลก รวมถึงผู้ประกอบการไทย สามารถใช้ฮ่องกงเป็นสนามทดสอบโมเดลธุรกิจใหม่ ก่อนต่อยอดสู่ตลาดขนาดใหญ่ในโครงการ Greater Bay Area และขยายต่อไปยังตลาดเอเชียวงกว้าง ทำให้ฮ่องกงไม่เพียงเป็นประตูสู่จีน แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นเชิงพาณิชย์ที่มีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมและสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการขยายธุรกิจในระดับภูมิภาค

ัทั้งนี้ คุณลู่ ชินหยง อธิบายว่า ศักยภาพของฮ่องกงในแต่ละอุตสาหกรรมมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน กลุ่มซอฟต์แวร์และฟินเทคเข้าสู่ตลาดได้ง่าย เนื่องจากใช้โครงสร้างพื้นฐานต้นทุนต่ำและมีตลาดที่เปิดรับนวัตกรรม ทำให้อัตราการเติบโตสูง ขณะที่กลุ่มฮาร์ดแวร์ ไบโอเทค และฟู้ดเทค แม้มีโอกาสในระยะยาว แต่ต้องใช้เวลาวิจัยและพัฒนา รวมถึงเงินลงทุนมาก จึงจำเป็นต้องศึกษาทุนสนับสนุนและแหล่งเงินทุนอย่างรอบคอบก่อนเข้าตลาด

นอกจากนี้ ปัจจัยที่ต้องคำนึงอีกประการคือค่าครองชีพสูง ซึ่งอาจทำให้เงินทุนเริ่มต้นไม่เพียงพอหากไม่มีการวางแผนการใช้จ่ายที่ดีอย่างไรก็ตาม ฮ่องกงมีข้อได้เปรียบคือเปิดโอกาสให้บริษัทต่างชาติสามารถจดทะเบียนและสมัครทุนสนับสนุนได้ทันทีโดยไม่จำกัดสัญชาติ ซึ่งเหนือกว่าหลายเมืองคู่แข่งในภูมิภาค

ในด้านการดึงดูดบุคลากรคุณภาพ ฮ่องกงมีมาตรการชัดเจน เช่น โครงการ Top Talent Pass Scheme ที่เปิดโอกาสให้บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ 199 แห่งทั่วโลกเข้ามาทำงานหรือเริ่มธุรกิจได้ทันที รวมถึงการออกวีซ่าผู้ประกอบการและนักลงทุนสำหรับผู้ต้องการตั้งบริษัท โดยผู้ที่พำนักครบ 7 ปีสามารถยื่นขอสัญชาติได้ ซึ่งขั้นตอนมีความยืดหยุ่นกว่าสิงคโปร์ที่มีกฎเกณฑ์เข้มงวดกว่า

ในเชิงเศรษฐกิจและภาษี ฮ่องกงมีความได้เปรียบชัดเจนด้วยอัตราภาษีนิติบุคคลเพียง 8.25% สำหรับกำไร 2 ล้านดอลลาร์ฮ่องกงแรก และ 16.5% สำหรับกำไรส่วนเกิน อีกทั้งไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือภาษีสินค้าและบริการ (GST) ระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพกำหนดให้หักเพียง 5% ของรายได้ต่อเดือน และไม่เกิน 1,500 ดอลลาร์ฮ่องกง ฮ่องกงยังเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะสินค้าลักชัวรี และมีระบบการเงินเสรีเต็มรูปแบบ ไม่มีการควบคุมเงินทุนเข้าออก ทำให้ผู้ประกอบการสามารถทำธุรกรรมระหว่างประเทศได้อย่างคล่องตัว

สถิติในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาสะท้อนศักยภาพของระบบนิเวศสตาร์ทอัพฮ่องกงอย่างชัดเจน โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 7-10% ต่อปี และในปี 2024 จำนวนสตาร์ทอัพพุ่งถึง 4,700 แห่ง ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดตั้งแต่มีการบันทึกมา ที่น่าสนใจคือ 28% ของผู้ก่อตั้งเป็นชาวต่างชาติ แสดงให้เห็นถึงความเปิดกว้างและความพร้อมของฮ่องกงในการดึงดูดและรองรับธุรกิจจากทั่วโลก ปัจจัยหนุนสำคัญมาจากโครงสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคง ระบบกฎหมายโปร่งใส และการใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการซึ่งเอื้อต่อการทำธุรกิจข้ามพรมแดนอย่างไร้รอยต่อ

จุดแข็งของฮ่องกงยังปรากฏในหลายสาขา โดยฟินเทคได้รับแรงหนุนจากสถานะศูนย์กลางการเงินชั้นนำของเอเชียที่มีธนาคารกว่า 160 แห่ง รวมถึงธนาคารเสมือนอีก 8 แห่ง และสถาบันการเงินระดับโลกที่ต้องการนวัตกรรมด้านการชำระเงิน สินเชื่อ และการจัดการสินทรัพย์ ขณะที่ด้าน ICT ครอบคลุมตั้งแต่ซอฟต์แวร์ บริการ SaaS ปัญญาประดิษฐ์ โซลูชันดิจิทัล ไปจนถึงระบบจัดการข้อมูล

ส่วนอีคอมเมิร์ซได้เปรียบจากระบบโลจิสติกส์และการเชื่อมโยงกับผู้บริโภคจีนแผ่นดินใหญ่ ภาคการศึกษาและการเรียนรู้เติบโตต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงโควิด ทั้งในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน มหาวิทยาลัย และการพัฒนาองค์กร ขณะที่การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกกำลังกลายเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจที่ต้องการเข้าใจตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภค

อุตสาหกรรมดาวรุ่งที่เติบโตเร็วและมีศักยภาพสูง ได้แก่ ภาคสุขภาพและการแพทย์ที่ได้รับแรงขับจากกระแสตื่นตัวด้านสุขภาพทั้งกายและใจ ความต้องการนวัตกรรมด้านการวินิจฉัย การดูแลเชิงป้องกัน และการรักษาแบบองค์รวมเพิ่มขึ้นอย่างมาก ความร่วมมือระหว่างสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีสุขภาพกับโรงพยาบาลและสถาบันวิจัยมีบทบาทสำคัญ ทั้งในโซลูชันการแพทย์ทางไกล อุปกรณ์สวมใส่ตรวจสุขภาพ และแพลตฟอร์มจัดการข้อมูลผู้ป่วย

ขณะเดียวกัน ความสนใจในสุขภาพจิตก็เพิ่มสูงขึ้นหลังโควิด สร้างโอกาสให้บริการปรึกษาออนไลน์ โปรแกรมฟื้นฟูสุขภาพ และโซลูชันดูแลพนักงานในองค์กร อีกหนึ่งทิศทางสำคัญคือเทคโนโลยีสีเขียวและยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับกระแสรักษ์โลกและการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฮ่องกงเปิดโอกาสในธุรกิจพลังงานสะอาด การรีไซเคิล การจัดการน้ำ และโซลูชันลดคาร์บอน โดยได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐผ่านกองทุนวิจัยเทคโนโลยีสีเขียวและโปรแกรมทดสอบนวัตกรรม ซึ่งช่วยให้โซลูชันเหล่านี้พัฒนาและนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างรวดเร็ว

กรณีศึกษาความสำเร็จของไทยในฮ่องกง

นอกจากระบบสนับสนุนสตาร์ทอัพที่ครบวงจนแล้ว ความสำเร็จของสตาร์ทอัพไทยในฮ่องกงยังสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสและศักยภาพของตลาดแห่งนี้อย่างชัดเจน หนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นคือ Yindi App สตาร์ทอัพจากประเทศไทยที่พัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อจัดการอาหารส่วนเกินและช่วยลดขยะอาหาร Yindi เริ่มจากการดำเนินงานในประเทศไทย ก่อนขยายเข้าสู่ฮ่องกงและทำให้ที่นี่กลายเป็นตลาดหลักที่สร้างรายได้สูงสุด

จุดแข็งสำคัญคือความสามารถในการจับคู่ความร่วมมือกับผู้ประกอบการรายใหญ่ในท้องถิ่นได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับ Big C Hong Kong เพื่อเปิดบริการ “Surprise Box” นำอาหารและสินค้าที่ใกล้หมดอายุมาจำหน่ายในราคาพิเศษ แทนการทิ้งให้สูญเปล่า ความร่วมมือนี้ไม่เพียงช่วยลดปริมาณขยะอาหารในฮ่องกงได้ในสัดส่วนที่สูง แต่ยังสร้างภาพลักษณ์ด้านความยั่งยืนให้ทั้งสองแบรนด์ ถือเป็นตัวอย่างชัดเจนของการใช้เครือข่ายและการสนับสนุนจาก InvestHK อย่างมีประสิทธิภาพ

อีกกรณีคือ Ravipa แบรนด์จิวเวลรีไทยที่มีชื่อเสียงด้านการออกแบบอัญมณีและเครื่องประดับในสไตล์โมเดิร์นและมีความหมาย เปิดร้านแรกในฮ่องกงเมื่อเดือนธันวาคม และเพียง 6 เดือนต่อมาก็ขยายเป็น 2 สาขา แสดงถึงการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคในตลาดนี้ การเติบโตอย่างรวดเร็วของ Ravipa มาจากกลยุทธ์การตลาดที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างแม่นยำ และการปรับผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับรสนิยมท้องถิ่น

นอกจากนี้ แบรนด์อาหารและเครื่องดื่มไทยหลายรายยังสามารถปรับตัวเข้ากับตลาดฮ่องกงได้อย่างน่าสนใจ เช่น การใช้ระบบอัตโนมัติในร้านอาหารเพื่อลดต้นทุนแรงงาน หรือการเลือกขยายสาขาไปยังย่านชุมชนที่มีความหนาแน่นของผู้พักอาศัยสูง แทนที่จะกระจุกตัวอยู่เฉพาะในย่านธุรกิจกลางเมือง ซึ่งเป็นการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคหลังโควิดที่นิยมใช้บริการใกล้บ้านและสั่งเดลิเวอรี่มากขึ้น

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Amarin TV

เจ้าของบัตร ปชช.ตัวจริงโพสต์แจง หลังเขมรตีข่าวช่วยสาวไทยล้มป่วยข้างถนน

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ตำรวจไซเบอร์รวบ 2 วัยรุ่นไทยรับจ้างแก๊งคอลฯขับรถตระเวนส่ง SMS ปลอม

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความธุรกิจ-เศรษฐกิจอื่น ๆ

“อโกด้า” เผยกรุงเทพฯครองแชมป์ จุดหมายยอดนิยมเอเชียสองปีซ้อน

Manager Online

ออริจิ้นฯ มอบเงิน 500,000 บาท ช่วยเหลือผู้ประสบภัย เหตุปะทะไทย-กัมพูชา และผู้ประสบอุทกภัย จ. น่าน

Manager Online

เศรษฐกิจยุคนี้ ลดละเลิก 6 นิสัย เสริมแกร่งออมเงิน | คุยกับบัญชา | 4 ก.ค. 68

BTimes

“TrueVisions NOW” พลิกเกมสู้ รู้ทางรอด จัดเต็มแพคเกจOTT

Manager Online

พันธุ์ไทย คว้าTop Outstanding Brand จากเวที Thailand Brand Footprint 2025

Manager Online

บทบาทคุณค่าจีน หนุนนำการพัฒนาสีเขียวระดับโลก

เดลินิวส์

ออมสิน ปิดปรับปรุงระบบชั่วคราว ประจำเดือนสิงหาคม 2568

sanook.com

บขส.ย้ายจุดจอดคิว”แท็กซี่”วันแรก ไร้ปัญหาผู้ใช้บริการสะดวก ไม่เสียเวลา

Manager Online

ข่าวและบทความยอดนิยม

SCB CIO-BlackRockชูหุ้นสหรัฐฯ-หุ้นAI–บอนด์สหรัฐเสริมพอร์ตรับความผันผวน

Amarin TV

"ทักษิณ" ไหว้หลวงพ่อคูณเอไอ ให้พรให้ทำเพื่อในหลวง-ชาติบ้านเมือง

Amarin TV

เมื่อสงครามการค้าอาละวาด บ.เทคฯ ยักษ์ใหญ่ของจีนกำลังขยายตัวในอาเซียน

Amarin TV
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...