DSI จ่อฟันผิดพยานจ.บุรีรัมย์ คดีฮั้ว-ฟอกเงิน สว. หากยังขัดหมายเรียกครั้งที่ 2
จากกรณีเมื่อวันที่ 15 ส.ค. คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) นำโดย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้รับทราบความคืบหน้าจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรณีคดีพิเศษที่ 24/2568 การสมคบกันในความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่กระทำความผิดฐานอั้งยี่ฯ ตามมาตรา 209 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง หรือคดีอั้งยี่-ฟอกเงิน สว. ซึ่งเป็นความคืบหน้าของการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค. 68 จนถึงปัจจุบัน โดยที่ผ่านมาได้มีการสอบพยานที่เกี่ยวข้องไปทั้งสิ้น 90 ปาก มีการจัดทำเหตุการณ์จำลองทั้งสถานที่ใช้ในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) และกระบวนการคัดเลือกพร้อมขอรับภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวงจรปิดที่เกี่ยวข้องในวันเกิดเหตุจากหลายหน่วยงาน มีการตรวจสอบร่องรอยทางการเงินพบว่ามีความเชื่อมโยงกัน 1,200 คน ทั้งนี้ เพื่อพิสูจน์ทราบความสัมพันธ์ของกลุ่มขบวนการได้มีการตรวจสอบข้อมูลโทรศัพท์ จากข้อมูลการสืบสวนพบว่ามีผู้ช่วยสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกวุฒิสภาเกี่ยวข้องในพื้นที่ 45 จังหวัด เป็นเหตุให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ เตรียมออกหมายเรียกผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภาอีก 1,200 ราย เพื่อเข้ามาให้ข้อมูลเพิ่มเติมในฐานะพยาน และเนื่องด้วยทางคดีมีพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องค่อนข้างมาก อธิบดีฯ จึงได้มอบหน่วยงานภายในสังกัดรวม 10 กองคดีที่เป็นคณะพนักงานสอบสวน เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ ตามที่มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 13.50 น. วันที่ 28 ส.ค. ที่ ห้องสนฉัตร ชั้น 3 กระทรวงยุติธรรม ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยความคืบหน้าว่า สำหรับกรณีที่พยานคดีฮั้ว สว. ขัดหมายเรียกพยาน ไม่มาให้ความร่วมมือกับพนักงานสอบสวนนั้น ก็ต้องดูเจตนาเป็นราย ๆ ว่ามีความจงใจขัดหมายเรียกหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เราได้มีการส่งพนักงานสอบสวนลงไปในแต่ละพื้นที่เพื่อสอบสวนปากคำพยานให้ครอบคลุมทุกจังหวัด และเราก็มีรายชื่อพยานถึง 1,200 รายที่เป็นกลุ่มที่เชื่อว่าจัดตั้งขึ้นมาให้มีการไปสมัครวุฒิสภา (สว.) แต่กลับไม่ได้ลงคะแนนให้ตัวเองแล้วไปเลือกบุคคลที่จัดตั้งขึ้น อย่างไรก็ดี ก็ยังมีพยานบางรายที่ให้การเป็นประโยชน์
ส่วนกรณีหมายเรียกพยานในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ที่มีการเชิญสอบสวนปากคำ แต่กลับไม่มีใครยินยอมเข้าพบพนักงานสอบสวนเลยสักรายนั้น อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า เราก็คงมีมาตรการที่จะดำเนินการเรื่องขัดหมายเรียกพยาน แต่ถึงอย่างไรขอให้มีการประชุมของคณะพนักงานสอบสวนก่อน โดยหมายเรียกพยานไม่ได้จำกัดจำนวนครั้งในการออก ซึ่งหากไม่มาให้การในฐานะพยานก็ถือว่าเป็นการขัดหมายเรียก แต่ถ้าบุคคลนั้นเป็นผู้ต้องหาก็เป็นเหตุให้ขอศาลออกหมายจับได้ ส่วนกรอบระยะเวลาในการทำสำนวนคดี คณะพนักงานสอบสวนจะเร่งดำเนินการอย่างเร็วที่สุด เพราะจำนวนพยาน 1,200 ราย หากให้การเป็นประโยชน์ก็จะได้พิจารณาเรียกบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องมารับทราบข้อกล่าวหาการกระทำความผิด โดยเฉพาะกลุ่มคนที่รู้เห็นในกระบวนการฟอกเงิน ฮั้ว สว.
ขณะที่รายงานภายในกรมสอบสวนคดีพิเศษ ระบุว่า การสรุปยอดหมายเรียกพยานคดีฮั้ว สว. 5 จังหวัดสำคัญในภาคอีสาน เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีจำนวนหมายเรียกพยานทั้งสิ้น 72 ราย โดยมาเข้าพบพนักงานสอบสวนให้การเพียง 18 ราย แบ่งเป็น จ.บุรีรัมย์ จำนวน 24 ราย ปรากฏว่าไม่มีพยานรายใดเข้าพบพนักงานสอบสวน ส่วน จ.นครราชสีมา จำนวน 2 ราย ปรากฏว่ามาเข้าพบพนักงานสอบสวนครบ ขณะที่ จ.ชัยภูมิ มีการออกหมายเรียกไป 4 ราย ทราบว่ามีการขอเลื่อน ส่วน จ.อุบลราชธานี มีการออกหมายเรียกไป 10 ราย มาเข้าพบพนักงานสอบสวนเพียง 5 ราย ส่วน จ.อำนาจเจริญ มีการออกหมายเรียก 32 ราย มาให้ปากคำเพียง 11 ราย ทั้งนี้ ในกรณีขอหมายเรียกพยานกลุ่มแรกนั้น หากมีหมายเรียกครั้งที่ 2 แล้วยังคงไม่ให้ความร่วมมือเข้าให้ปากคำพนักงานสอบสวนตามสถานที่กำหนด และไม่มีการแจ้งขอเลื่อนให้พนักงานสอบสวนรับทราบ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ เพื่อให้ตำรวจดำเนินคดีในส่วนของการขัดหมายเรียกพยาน นอกจากนี้ ในห้วงสัปดาห์นี้คณะพนักงานสอบสวนได้มีการออกหมายเรียกพยานเพิ่มอีก 480 ราย.