กต.รุกฆาตกัมพูชา! ‘มาริษ’ไป‘สวีเดน-สวิส’ จัดซื้อกริพเพน-ฟ้องโลก
ศบ.ทบ.ย้ำเขมรยังละเมิดข้อตกลงหยุดยิง กต.เดินหน้าแจงต่างชาติ-ประณามกัมพูชา หลังพบ PMN-2 บริเวณจุดกัมพูชาดักซุ่ม ซัดไม่เคยร่วมมือไทยเก็บกู้ เตรียมส่งหลักฐานให้ IOT "พลทหารพิทยุตม์" ประจำฐานปราสาทตาเมือนธมเคยระงับเหตุโต้เถียง "โมนิกา" สาวตัวตึงกัมพูชาเสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว ทบ.เชิดชูเกียรติเยียวยาตามสิทธิครบถ้วน เหตุอยู่ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ “บิ๊กเยิ้ม” โต้ “กนก” แค้นฝังหุ่นไม่ได้ขึ้นแม่ทัพ แฉกลับเคยค้าไม้กับผู้นำเขมรแดง ขวางไม่ให้คนอื่นเข้า-เหนียวเงินรายได้สนามกอล์ฟ แจงกรณีเขมรรุกล้ำช่องอานม้าแค่ตั้งตลาดชั่วคราว "นิด้าโพล" ชี้ชัดคนไทยมองเขมรเป็นเพื่อนบ้านที่ไม่ควรคบด้วย
เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทก.) สรุปสถานการณ์ชายแดน 11 จุด ใน 7 จังหวัดว่า ปกติ กองทัพไทยยังคงตรึงกำลังและเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง โดยกองทัพภาคที่ 2 ได้ตรวจพบความเคลื่อนไหวของกัมพูชาในบางพื้นที่ ขณะเดียวกัน รัฐบาลมีหลักฐานชัดเจนว่ากัมพูชายังคงละเมิดข้อตกลงหยุดยิง เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม และผลการประชุม GBC เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม และสนธิสัญญาออตตาวาอย่างต่อเนื่อง
โดยเมื่อวันที่ 24 ส.ค. กองทัพภาคที่ 2 ได้รายงานว่า ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) ได้เข้าตรวจสอบพื้นที่ที่ตรวจพบทุ่นระเบิด PMN-2 บริเวณทิศตะวันตกของเนิน 350 อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ที่ทหารกัมพูชาได้ลักลอบเข้ามาวาง เมื่อวันที่ 22 ส.ค.2568 โดยพบวัตถุระเบิดเพิ่มเติม ได้แก่ กับระเบิด PMN-2 จำนวน 2 ลูก (รวมเป็น 3 ลูก) ลูกระเบิด ค.ด้าน 2 ลูก และตะปูเรือใบอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เก็บหลักฐานและเคลื่อนย้ายวัตถุระเบิดออกจากพื้นที่แล้ว รัฐบาลจะติดตามความเคลื่อนไหวของกัมพูชาใกล้ชิด และพร้อมตอบโต้ทั้งทางการทูตและความมั่นคงอย่างเหมาะสม รวมถึงจะชี้แจงให้ประชาคมระหว่างประเทศรับรู้ถึงการกระทำของกัมพูชาที่ละเลยและละเมิดข้อตกลงทั้ง 3 ส่วนข้างต้น
น.ส.ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ ที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ ต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่ายังคงเดินหน้าคุยสื่อต่างประเทศและสื่อภาษาอังกฤษสัญชาติไทยเพื่อสื่อสารประชาคมโลกต่อเนื่อง ซึ่งแม้กัมพูชาจะเชิญประชุมทูตกว่า 40 ประเทศเพื่อแก้เกี้ยวจากที่โดนประณามเรื่องการใช้ทุ่นระเบิดสังหารใหม่ และยังคงไม่จำนนต่อหลักฐานที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่เอ่ยว่าจะร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด พร้อมทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ร่วมกับไทยแล้วนั้น
"ล่าสุดกองทัพของไทยก็ได้แถลงว่าตรวจพบทุ่นระเบิด PMN-2 บริเวณจุดที่พบทหารกัมพูชาดักซุ่มจำนวน 1 ทุ่น เมื่อวันที่ 23 ส.ค. ซึ่ง กต.พร้อมเดินหน้าในเวทีโลกต่อไป กรณีมีหลักฐานเพียงพอต่อการกระทำเช่นนี้ที่ต้องถูกประณาม เพราะเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงและอนุสัญญาออตตาวาอย่างร้ายแรง" น.ส.ชยิกากล่าว
ขณะที่ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษก กต. ออกแถลงการณ์ว่า เมื่อวันที่ 22 ส.ค.2568 หน่วยทหารไทยตรวจพบการปฏิบัติการทางทหารของฝ่ายกัมพูชาบริเวณทิศตะวันตกของเนิน 350 จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งรุกล้ำเข้ามาในเขตอธิปไตยของไทย จึงได้ขับไล่ทหารกัมพูชาออกไป หลังจากนั้นได้มีการเข้าตรวจสอบพื้นที่ และพบทุ่นระเบิดชนิด PMN-2 ณ จุดที่พบทหารกัมพูชาและบริเวณโดยรอบ 3 ทุ่น พร้อมอาวุธอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเหตุการณ์นี้บ่งชี้อย่างชัดเจนอีกครั้งว่า ฝ่ายกัมพูชาละเมิดอธิปไตยของไทย พันธกรณีภายใต้อนุสัญญาออตตาวา และเงื่อนไขหลายข้อของข้อตกลงหยุดยิงจากการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (จีบีซี) สมัยวิสามัญที่ผ่านมา ซึ่งฝ่ายไทยจะรวบรวมหลักฐานทั้งหมดเพื่อส่งให้คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว (IOT) ทราบถึงพฤติกรรมดังกล่าวของฝ่ายกัมพูชาต่อไป
กต.ขยับฟ้องโลกแล้ว
ด้านนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.กต. ให้สัมภาษณ์ในโอกาสเดินทางเยือนราชอาณาจักรสวีเดนอย่างเป็นทางการว่า เพื่อเป็นสักขีพยานในการลงนามซื้อเครื่องบินรบ Grippen E/F ของกองทัพอากาศ กับบริษัท Saab และจะใช้โอกาสนี้หารือทวิภาคีกับนางมารีอา มัลเมอร์ สเตเนอร์การ์ด รมว.การต่างประเทศสวีเดน เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาด้วย เพราะสวีเดนเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นอย่างมาก ดังนั้นจะใช้โอกาสนี้ยืนยันว่ามาตรการต่างๆ ที่ไทยใช้ในการแก้ปัญหากัมพูชาตั้งแต่แรกเริ่ม เรามุ่งเน้นการใช้การเจรจาสองฝ่ายหรือทวิภาคี หลีกเลี่ยงการใช้กำลัง และแสดงความต้องการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาโดยสันติและจริงใจระหว่างกันมาโดยตลอด โดยได้เตรียมหลักฐานเพื่อนำมาชี้แจงให้รับฟังด้วย
“การที่เราถูกกัมพูชาละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน ทำให้เราต้องตอบโต้เพื่อป้องกันตนเองตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ เพราะอาวุธที่เราใช้ยืนยันได้ว่าเราทำเพื่อป้องกันตัวเอง ขณะที่กัมพูชาใช้อาวุธเพื่อโจมตีระยะไกล ไม่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ เป็นการโจมตีเป้าหมายทางพลเรือน รวมถึงการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล การปฏิบัติการสงครามข่าวสาร ใช้ความเห็นสาธารณะ ชวนเชื่อทัศนคติของสังคมให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายประเทศยอมรับไม่ได้” นายมาริษระบุ
นายมาริษยังกล่าวว่า หลังเยือนสวีเดนอย่างเป็นทางการแล้วจะเดินทางไปเจนีวาประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในวันที่ 26 ส.ค.นี้ โดยมีเป้าหมายหลัก 3 ประการคือ ไปชี้แจงให้กับประเทศกลุ่มสัญญาอนุภาคีให้เข้าใจสถานการณ์ไทย-กัมพูชา ซึ่งกัมพูชาใช้วัตถุระเบิดสังหารบุคคนที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศและอนุสัญญาออตตาวา และในโอกาสนี้จะพบกับสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทุ่นระเบิดสังหาร การละเมิดสิทธิมนุษยชนด้วยการโจมตีเป้าหมายพลเรือนของกัมพูชา รวมทั้งการใช้โซเชียลมีเดีย ซึ่งเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) ก็ได้ออกมาพูดชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยอย่างมาก และไม่สนับสนุนให้มีการใช้สงครามข่าวสารในการต่อสู้โดยใช้พลเรือนเป็นตัวกระทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างกัน
มีรายงานว่า พลทหารพิทยุตม์ โสดา หรือน้อย อายุ 20 ปี สังกัดกองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 23 ค่ายสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก จ.บุรีรัมย์ ชาวบ้าน ต.หนองกง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งประจำการอยู่ที่ปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ได้เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 23 ส.ค. เวลาประมาณ 15.00 น. ภายในห้องน้ำบริเวณฐานปฏิบัติการปราสาทตาเมือนธม ด้วยอาการวูบจากโรคประจำตัว
เมื่อ 2-3 วันก่อนพลทหารพิทยุตม์บอกกับเพื่อนว่ามีอาการไอเป็นเลือด เพื่อนเลยพาไปหาแพทย์ทหาร ได้ยามากิน แต่เมื่อจะให้ลงจากแนวหน้าไปพักรักษา พลทหารพิทยุตม์ก็ไม่ไป เพราะเป็นห่วงเพื่อนๆ อยากอยู่ตรึงกําลังและทําหน้าที่รักษาปราสาทตาเมือนธม จนกระทั่งมีอาการวูบล้มลงขณะเข้าห้องน้ำและเสียชีวิต
เชิดชูเกียรติ 'พลทหารพิทยุตม์'
สำหรับพลทหารพิทยุตม์ ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 15 ก.ค. เคยเข้ามาระงับเหตุโดยโต้เถียงกับ น.ส.นโรดม แพน โมนิกา หญิงกัมพูชาตัวตึง ที่เคยเข้ามาป่วนชี้หน้าทหารไทยกล่าวหาว่าล้ำเส้นเข้ามาในเขตแดนกัมพูชา ทั้งที่ปราสาทตาเมือนธมตั้งอยู่บนแผ่นดินไทย และมีการโต้เถียงกันเสียงดัง จนชาวโซเซียลยกย่องให้เป็นฮีโร่แห่งตาเมือนธม
พ.ต.หญิงจุฑาพัชร เปรมบัญญัติ ผช.โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบกขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของพลทหารพิทยุตม์ โสดา อายุ 20 ปี เป็นทหารกองประจำการ รุ่นปี 1/67 จากการสมัครใจเข้ามารับราชการในโครงการพลทหารออนไลน์ ตรวจสอบเบื้องต้น ผู้เสียชีวิตไม่มีโรคประจำตัว อยู่ระหว่างการตรวจสอบหาสาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียด โดยรอผลชันสูตรพลิกศพจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่
กองทัพบกขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปของพลทหารพิทยุตม์ และขอเชิดชูในความเสียสละของผู้ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องประเทศชาติในพื้นที่ชายแดนอย่างเต็มกำลังความสามารถ กองทัพบกดำเนินการแจ้งให้ญาติทราบแล้ว จะให้การดูแลช่วยเหลือครอบครัวของกำลังพลอย่างครบถ้วนเต็มที่ ตามสิทธิและระเบียบที่ราชการกำหนด
ด้าน พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวน้องพลทหารพิทยุตม์ โสดา ซึ่งตนได้รับรายงานจากผู้บังคับบัญชาโดยตรงจากพื้นที่แล้ว ทั้งนี้ สิทธิกำลังพลต่างๆ ก็จะดำเนินการให้อย่างเต็มที่ เพราะถือว่าอยู่ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ชายแดน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศที่บ้านเลขที่ 45 หมู่ 7 ต.หนองกง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ บ้านเกิดของพลทหารพิทยุตม์ ชาวบ้านได้ออกมาช่วยกันเตรียมจัดงานศพของพลทหารพิทยุตม์ โดยนางเหมือน จันทร์เจริญ อายุ 60 ปี ย่าของพลทหารพิทยุตม์ เผยทั้งน้ำตาก่อนเดินทางไปรับร่างไร้วิญญาณของหลานชายสุดที่รักว่า ตอนเด็กๆ หลานสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ลำไส้ไม่ค่อยดี แต่หลานก็มีความฝันอยากจะเป็นทหารรับใช้ชาติ กระทั่งได้สมัครเข้าเป็นทหารกองประจำการ เสียใจมากที่ต้องสูญเสียหลานไปเร็วขนาดนี้ แต่อีกมุมก็ภูมิใจในตัวหลาน คิดว่าหลานเองก็คงจะภูมิใจเช่นกันที่ได้ทำตามความฝันของเขา
ด้านนายพลวัฒน์ โสดา บิดาของพลทหารพิทยุตม์กล่าวว่า ในฐานะพ่อก็เสียใจมากที่ลูกชายจากไปเร็วขนาดนี้ ลูกชายมีโรคประจำตัวหอบหืด ก็ไปหาหมอรักษาตลอด ที่ผ่านมาเขาก็เคยบอกว่าอยากจะเป็นทหาร จึงตัดสินใจไปสมัครจนได้เป็นทหารเมื่อปี 2567 และอีกไม่กี่เดือนก็จะปลดประจำการแล้ว แต่เขาบอกว่าจะเรียนต่อและสอบเป็นนายสิบ แต่ก็มาเสียชีวิตก่อน ก็ภูมิใจในตัวลูกชายที่ได้รับใช้ชาติตามที่เขาฝันเอาไว้
'บิ๊กเยิ้ม'โต้ 'กนก'แค้นส่วนตัว
วันเดียวกัน พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวเปิดใจผ่าน TikTok “ลุงเยิ้ม” ในหัวข้อ “ความจริงจากท่านแม่ทัพ…ข่าวลือมากมายทั้งเรื่องรั้ว การยอมให้กัมพูชาเดินเข้ามา ความจริงคืออะไร ใครถูก-ใครผิด? โดย พล.อ.ธวัชชัย หรือ “บิ๊กเยิ้ม” เล่าว่า ตนดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 2 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 53-เมษายน 2555 โดยช่วงปี 2554 มีความตึงเครียดจากเหตุการณ์ที่กัมพูชาพยายามเอาพื้นที่เขาพระวิหารจากแผนที่ 1:200,000 ตนก็บอกว่าไม่ได้ เพราะหลักสากลต้องยึดตามสันปันน้ำ แผนที่ 1:50,000 เขาก็พยายามทำถนนขึ้นมา เพราะเขาพระวิหารต้องขึ้นจากฝั่งไทย ย้อนกลับไปเมื่อปี 2505 เราแพ้ศาลโลกเฉพาะ 300 ไร่บนเขาตัวปราสาทพระวิหาร แต่พื้นที่โดยรอบเป็นของไทย กัมพูชาร้องขอให้ศาลโลกให้พิจารณาคดีใหม่ ซึ่งสมัยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ ตนได้ไปคุยกับท่านบอกไปว่าไม่จำเป็นต้องไปขึ้นศาลโลก เพราะเรายึดถือปี 2505 ก็จบไปแล้วส่วนหนึ่ง แต่ก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า ไม่ได้ เพราะเมื่อเขาร้องมาก็ต้องพิจารณา กัมพูชาก็เอารถแทรกเตอร์ แบ็กโฮ ขึ้นมาที่เขาพระวิหาร ตนก็บอกว่าไม่ให้ขึ้น และเราก็เอารถแทรกเตอร์ทหารช่างของเราขึ้นไปบ้าง ปรากฏว่าพอเราจะขึ้นไป เขายิงมา ก็เกิดการปะทะกัน
ส่วนกรณีที่มีการบอกว่าทหารไทยยกช่องอานม้าให้กัมพูชาในตอนนั้น พล.อ.ธวัชชัยกล่าวว่า ไม่จริงเลย ตั้งแต่ช่องอานม้า ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ เมื่อเราไปเซ็นเอ็มโอยู 43 เรายังไม่ได้มีการปักปันเขตแดน และใช้แผนที่ 1:50,000 ตลอดแนว จึงพยายามเจรจาและลาดตระเวนร่วมกันกับทหารกัมพูชา ที่มีการมองว่าให้กัมพูชามาสร้างสิ่งปลูกสร้างถาวรเป็นการยกเว้นหรือไม่นั้น ยืนยันว่าไม่ได้ยกเว้น แต่ช่องอานม้าเป็นจุดผ่านแดนถาวร ตอนนั้นตนต้องการให้มีการเปิดจุดผ่านถาวรหรือชั่วคราวจังหวัดละหนึ่งจุด
ส่วนกรณีที่ถูกกล่าวหาว่า ในปี 2554 มีนายทหารไทยบางคนมีส่วนรู้เห็นให้อำนาจกัมพูชาจริงหรือไม่นั้น พล.อ.ธวัชชัยกล่าวว่า ข่าวนี้ไม่จริงเลย ประเด็นดังกล่าวเกิดจากการที่ พล.ท.กนก เนตระคะเวสนะ อดีตรองแม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งเป็นเตรียมทหารรุ่นพี่ของตนหนึ่งรุ่น เกษียณมา 12 ถึง 13 ปีแล้ว ยังแค้นฝังหุ่นว่าทำไมตัวเองไม่ได้ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ตนทำงานในสนามมาตั้งแต่ 2520 รับพระราชทานเหรียญรามาธิบดี ชั้นอัศวิน ในตอนเป็นร้อยเอกปี 2525 เมื่อได้รับพระราชทานแล้วก็มีความซื่อสัตย์สุจริตร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเราได้รับเหรียญจากพระหัตถ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 โดยตรง ไม่เคยอยู่หลังลูกน้อง เรื่องที่บอกว่าไปรับเงินจากบ่อนต่างๆ ไม่จริง บ่อนไหนจะบ้ามาขอบัตรประชาชนของ ผบ.หน่วยนั้นไปเปิดบัญชี ก็ไม่รู้ว่าพี่กนกไปเอาสมองที่ไหนคิด เที่ยวไปกล่าวหาคนนั้นคนนี้ ไม่ได้ทำประโยชน์อะไร ก็เป็นลูกน้องตนมาตลอดตั้งแต่รอง ผบ.พล.ร.6
แฉค้าไม้กับเขมรแดง
“ได้รายได้สนามกอล์ฟเดือนละ 3 แสน ผมก็บอกว่าพี่กนกผมขอ 1 แสน จะเอาไปช่วยซื้อของ ข้าวสาร อาหารแห้ง 100 ชุดไปมอบให้ครอบครัวทหารเดือนละครั้งระหว่างประชุม การเอาข้าวของไปแจกเขาเพราะสามีไปทำงานอยู่สนาม ส่วนอีก 2 แสนให้แกบริหารจัดการโดยเสรี การทำงานในสนามแกปะทะน้อยกว่าผมเยอะ และตัวแกเองตอนเป็นผู้การ ร.16 ไปค้าไม้กับตาม็อก เขมรแดง ใครจะเข้าไปไม่ได้เลย ทำอยู่คนเดียว เพื่อนผมจะเข้าไปดูก็ไม่ให้เข้า ส่วนน้าตู่-น้าป๊อก (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา) อยู่ในระดับนโยบายให้การสนับสนุนกำลังในสนามทั่วประเทศ ไม่ใช่เฉพาะกองทัพภาคที่ 2 บางครั้งไม่ขอ ท่านก็ให้ มีความเป็นกันเองกับลูกน้อง”
ส่วนกรณีที่เกิดคำถามว่า ทหารไทยได้รื้อรั้วปราสาทตาเมือนธมเพื่อเปิดทางให้กัมพูชาเข้ามาเป็นความจริงหรือไม่ พล.ท.ธวัชชัยกล่าวว่า ตอนนั้นได้โทรศัพท์ไปถาม พล.ท.กิตติศักดิ์ บุญพระธรรมชัย หรือน้องมืด ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 26 ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ในตอนนั้น เขาก็บอกว่าตอนนั้นเราบูรณะปราสาทตาเมือนธมให้ดีขึ้น เขาก็ขอขึ้นมาดู ผู้การมืดเขาทำรั้วเอง เป็นรั้วไม้ไผ่ แบ่งเป็นสองช่อง ผู้ชายและผู้หญิง แล้วก็แจกตั๋ว ถ้ากลับก็เอาตั๋วมาคืน มาเท่าไหร่กลับเท่านั้น พอเกิดเหตุการณ์รบที่เขาพระวิหารกัมพูชาดูแล้วว่าสู้ไม่ไหว ก็มาเปิดแนวรบแถวปราสาทตาเมือน พอรบกัน ยิงกัน เขมรก็พังรั้วเข้ามา เราก็ยิงปืนใหญ่เข้ามาสูญเสียมหาศาล
"คนไทยทุกคนจะไม่ยอมยกแผ่นดินไทยที่บรรพบุรุษเราเสียเลือดเนื้อรักษามาจนปัจจุบันนี้ ผมก็เป็นทหารไทย ก็ไม่ยอมเหมือนกัน ในฐานะแม่ทัพภาคที่ 2 ขอยืนยันว่า พื้นที่ชายแดนทุกตารางนิ้วเป็นของประเทศไทย ถูกปกป้องด้วยเลือดเนื้อและหัวใจของคนไทยมาโดยตลอด" พล.ท.ธวัชชัย กล่าว
วันเดียวกัน ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจเรื่อง “สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เหตุการณ์ปกติ!” ระหว่างวันที่ 18-19 สิงหาคม 2568 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศ 1,310 หน่วยตัวอย่าง เมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นเหตุการณ์ที่ดำเนินไปตามปกติ พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 44.96 ระบุว่าเหตุการณ์ไม่ปกติเลย และน่ากังวล รองลงมา ร้อยละ 29.16 ระบุว่าเหตุการณ์ปกติ แต่ยังไม่น่าไว้วางใจ, ร้อยละ 23.74 ระบุว่าเหตุการณ์ยังคงไม่ปกติเท่าไรนัก และร้อยละ 2.14 ระบุว่าเหตุการณ์ปกติจริง ไม่มีอะไรน่ากังวล
คนไทยยี้เขมรคบไม่ได้
ด้านความคิดเห็นเกี่ยวกับการแทรกแซงของประเทศมหาอำนาจในสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา พบว่า ร้อยละ 64.73 ระบุว่าประเทศมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซงเพราะต้องการผลประโยชน์ รองลงมา ร้อยละ 17.10 ระบุว่าไทยควรปฏิเสธการเข้ามาแทรกแซงของประเทศมหาอำนาจ, ร้อยละ 8.85 ระบุว่าประเทศมหาอำนาจเข้ามาแทรกแซงเพราะต้องการให้เกิดสันติภาพจริงๆ ร้อยละ 6.11 ระบุว่าไม่เชื่อว่าประเทศมหาอำนาจจะเข้ามาแทรกแซงอย่างจริงจัง
เมื่อถามถึงความคิดเห็นต่อประเทศกัมพูชาในฐานะเพื่อนบ้านของไทยจากสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาในขณะนี้ พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 54.12 ระบุว่าเป็นเพื่อนบ้านที่ไม่ควรคบด้วย รองลงมาร้อยละ 29.39 ระบุว่าเป็นเพื่อนบ้านที่คบกันได้ แต่ไม่ควรไว้วางใจ, ร้อยละ 14.20 ระบุว่าเป็นฝั่งตรงข้าม, ร้อยละ 1.91 ระบุว่ายังคงเป็นเพื่อบ้านที่คบกันได้เหมือนเดิม
ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา ผู้ก่อตั้งสำนักวิจัยซูเปอร์โพล มูลนิธิสถาบันวิจัยความสุขชุมชน เปิดเผยรายงานผลสำรวจเรื่อง ความภาคภูมิใจ ความสุขของคนไทย จากกลุ่มตัวอย่างทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ 1,093 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 20-23 สิงหาคม 2568 ผลการสำรวจชี้ให้เห็นว่า “ความภูมิใจของคนไทย” สะท้อนฐานค่านิยมร่วมที่โน้มไปทางความกล้าหาญ ความเสียสละ และรากฐานประวัติศาสตร์ความเป็นเอกราชของชาติเป็นสำคัญ โดยข้อที่ได้รับการเห็นพ้องสูงสุดคือ “ความกล้าหาญ เสียสละของทหาร นักรบไทย ปกป้องแผ่นดินและอธิปไตยของไทย” อยู่ที่ร้อยละ 92.6 รองลงมาเป็น “ไทยรักษาเอกราชของชาติ ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นจนถึงปัจจุบัน” ร้อยละ 85.8 ตามด้วย “ความสามัคคีของคนไทยเมื่อเกิดวิกฤต” ร้อยละ 82.9 และ “ประเทศไทยได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่ารักสงบ มีอารยะ มีความเจริญ” ร้อยละ 81.5 ส่วน “เยาวชนได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์และความกล้าหาญของบรรพบุรุษไทย” อยู่ที่ร้อยละ 79.3
รายงานของซูเปอร์โพลระบุด้วยว่า ความรู้สึก “ชื่นชอบต่อทหารชายแดนไทย-กัมพูชา” สะท้อนการยอมรับตัวบุคคลและบทบาทหน่วยเฉพาะที่ปฏิบัติหน้าที่แนวหน้า โดยอันดับแรกคือ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาค 2 ร้อยละ 64.5 จี้ติดตามรองลงมาด้วย ร.อ.หญิงปวิชญา วลีสุขสันต์ (ผู้กองอะตอม) ร้อยละ 63.8 ถัดมาเป็นนักบินรบฝูงบิน F-16 และกริพเพน ร้อยละ 61.7, นักรบชุดดำ-ตชด.ร้อยละ 58.9 และกลุ่มอาสาสมัคร ร้อยละ 55.3.