แบงก์ชาติห่วง ‘สินเชื่อติดลบ‘ หนี้เสีย ‘เอสเอ็มอี’ พุ่ง
นาวสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า ภาพรวมสินเชื่อรวมของระบบธนาคารพาณิชย์และบริษัทในเครือหดตัวในอัตราที่ลดลง จากติดลบ 1.3% ในไตรมาสที่แล้ว มาอยู่ที่ติดลบ 0.9% ในไตรมาสนี้
ส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อธุรกิจ SME และสินเชื่ออุปโภคบริโภค เนื่องจากความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
อีกทั้ง ธนาคารพาณิชย์ที่ยังคงมีความระมัดระวังในการให้สินเชื่อแก่ธุรกิจ SME โดยส่วนใหญ่จะให้แก่ลูกค้าเดิมที่มีประวัติการชำระหนี้ดีและมีหลักทรัพย์ค้ำประกันที่เพียงพอ ทำให้ลูกค้าใหม่เผชิญความยากลำบากในการเข้าถึงสินเชื่อ
เช่นเดียวกับ สินเชื่ออุปโภคบริโภคที่ยังคงหดตัวต่อเนื่อง เช่นเดียวกับไตรมาสที่แล้ว โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อบัตรเครดิต จากการใช้จ่ายผ่านบัตร ที่ลดลง
‘ธปท.คาดว่า สินเชื่อที่หดตัว จะยังอยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง จากการสะสมความเปราะบางของหนี้ในช่วงวิกฤติ และจากการเร่งชำระคืนหนี้จำนวนมาก'
สำหรับ คุณภาพสินเชื่อ สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL ratio) อยู่ที่ 2.91% ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน โดยหลักมาจากสินเชื่อธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจ SME ที่เคยได้รับความช่วยเหลือหลายครั้ง แต่ท้ายที่สุดธุรกิจไม่ฟื้นตัว
ทั้งนี้ หากดูระบบธนาคารพาณิชย์มีความมั่นคงและมีเสถียรภาพ โดยมีเงินกองทุน เงินสำรอง และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง
โดยผลการดำเนินงานปรับดีขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยหลักจากรายได้เงินปันผลตามปัจจัยฤดูกาล ขณะที่ค่าใช้จ่ายสำรองปรับเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากผลกระทบนโยบายการค้าโลก
ขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับลดลงตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและปริมาณสินเชื่อที่ลดลง รวมทั้งจากมาตรการคุณสู้ เราช่วย ที่มีการลดดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามภาวะการเงินที่ยังตึงตัวและความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและครัวเรือนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่รายได้ฟื้นตัวช้าและมีภาระหนี้สูง รวมถึงธุรกิจและครัวเรือนที่อาจได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมต่อฐานะการเงินจากผลกระทบมาตรการทางภาษีของสหรัฐอเมริกา
ตลอดจนติดตามผลสำเร็จของการให้ความช่วยเหลือภายใต้โครงการคุณสู้เราช่วย โดยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ไตรมาส 1 ปี 2568 ปรับลดลงจากไตรมาสก่อน จากสินเชื่อภาคครัวเรือนที่ขยายตัวชะลอลงเป็นสำคัญ ขณะที่ภาคธุรกิจมีสัดส่วนหนี้สินต่อ GDP ลดลงตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ
ขณะที่การก่อหนี้ทรงตัว ด้านความสามารถในการทำกำไรโดยรวมลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อน แม้ภาคการผลิตปรับดีขึ้นจากการเร่งผลิตเพื่อส่งออก แต่ภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการอื่น ๆ เผชิญแรงกดดันจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงและกำลังซื้อที่ชะลอลงในตลาดที่อยู่อาศัย