BGRIM จ่อปิดดีล M&A ครม.ไฟฟ้าโซลาร์เพิ่ม
หุ้นวิชั่น
อัพเดต 20 สิงหาคม 2568 เวลา 0.23 น. • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • HoonVision | หุ้นวิชั่น - หุ้น ข่าวหุ้น หุ้นไทยวันนี้ หุ้นวันนี้ หุ้นเด่น วิเคราะห์หุ้น ธุรกิจ การเงิน เศรษฐกิจ การลงทุน ดัชนีราคาหุ้นหุ้นวิชั่น - BGRIM มองธุรกิจผ่านจุดต่ำสุด ครม.เคาะโซลาร์ 15 MW ใน EEC เดินหน้าโครงการพลังงานต่อเนื่อง พร้อมเล็งพัฒนาโครงการ ESS เสริมรายได้ ลุยแผนเชื่อมลูกค้าอุตสาหกรรมใหม่ 40–50 MW ทั้งปี มั่นใจดีมานด์ดาต้าเซ็นเตอร์หนุนการเติบโต ปีนี้ เล็งดีล M&A เสริมแกร่ง พร้อมจ่ายปันผลระหว่างกาลตอบแทนผู้ถือหุ้น
นายนพเดช กรรณสูต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจในประเทศไทยและโซลูชั่นธุรกิจอุตสาหกรรม บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า ล่าสุด ที่ประชุมคระรัฐมนตรี(ครม.) มีมติรับทราบการออกใบอนุญาตการประกอบกิจการพลังงานให้แก่บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) โรงฟ้าโซลาร์ขนาด 15 เมกะวัตต์ ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการ EEC ที่มีความสำคัญอย่างมาก และยังมมีโอกาสที่จะเห็นการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าที่ใช้ Energy Storage System (ESS) ด้วย ทั้งนี้โครงการนี้ก็จะส่งผลให้บริษัทมีรายได้เพิ่มเข้ามา
ส่วนครึ่งปีหลังบริษัทยังเดินหน้าแผนธุรกิจต่อเนื่อง มองว่าธุรกิจได้ผ่านจุด Bottom ไปแล้ว และยังมี มีโครงการที่พร้อมจะจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบอย่างโครกงารในประเทศเกาหลี รวมไปถึงแผนการเชื่อมเข้าระบบของลูกค้าอุตสาหกรรมรายใหม่ โดยปีนี้บริษัทมีเป้าหมายที่จะเชื่อมเข้าระบบรวม 40-50 เมกะวัตต์ หลังจากไตรมาส 2/2568 มีการเชื่อมเข้าระบบของลูกค้าอุตสาหกรรมรายใหม่ในประเทศ จำนวน 13.8 เมกะวัตต์ ทำให้ยอดรวมเป็น 20.7 เมกะวัตต์ ในช่วง 6 เดือนแรก โดยมั่นใจว่าการเชื่อมเข้าระบบของลูกค้าอุตสาหกรรมรายใหม่โดยเฉพาะกลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องและไม่อ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจท่ามกลางการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลจะช่วยบรรเทาผลกระทบดังกล่าว ขณะเดียวกัน สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและประเทศเศรษฐกิจหลัก อาจส่งผลในเชิงบวกผ่านราคาก๊าซธรรมชาติที่อาจลดลง โดยบี.กริม เพาเวอร์ ได้ติดตามสถานการณ์ต่อเนื่องเพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับลูกค้าอุตสาหกรรมบางราย พร้อมร่วมกันพัฒนากลยุทธ์ในการรับมือและมาตรการบรรเทาผลกระทบอย่างเหมาะสม
ทั้งนี้ บี.กริม เพาเวอร์ได้คาดการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) อยู่ที่310-330 บาทต่อล้าน BTU ซึ่งอยู่ในช่วงเดียวกับปี 2567 ที่ราคาก๊าซธรรมชาติ324 บาทต่อล้าน BTU โดยบริษัทฯ วางแผนนำเข้า LNG ไม่เกิน 5 ลำเพื่อนำเข้าสู่ระบบ Pool Gas และตั้งเป้าเพิ่มลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรม (IUs)รายใหม่ เชื่อมเข้าระบบรวม 40-50 เมกะวัตต์ โดยปัจจุบันมีโครงการต่าง ๆที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและจะ COD ในช่วงปีนี้ ถึงปีหน้า ได้แก่ 1.โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อู่ตะเภา (เฟส 1) 18 เมกะวัตต์ 2.โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “อินทรี บี.กริม” 80 เมกะวัตต์ 3.โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา “จงเช่อ รับเบอร์”ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดระยอง 35 เมกะวัตต์ 4.โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา “386” 18.8 เมกะวัตต์ 5.โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่ง “Nakwol 1” 365 เมกะวัตต์ และ 6. โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ “ARECO” 65 เมกะวัตต์
ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีดีลซื้อกิจการหรือ M&A โครงการทั้งในประเทศและต่างประเทศ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนในนี้ ซึ่งหากมีดีลก็จะมาช่วยบผลักดันเป้าหมายการขยายกำลังการผลิตตามแผนที่วางไว้
พร้อมกันนี้ ยังได้อนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลที่ 0.18 บาทอต่อหุ้น สำหรับผลการดำเนินงานช่วง 6 เดือนแรกปี 2568 โดยกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 26 สิงหาคม 2568 และกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 10 กันยายน 2568
รายงานโดย : ณัฏฐ์ชญา ปุริมปรัชญ์ภัทร บรรณาธิการข่าว Hoonvision