ส่องยอดขายรถ 10 อันดับแรกประจำเดือนม.ค.-ก.ค.68 เช็กเลยยี่ห้อใดขายดีสุด
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด รายงานสถิติการขายรถยนต์ตั้งแต่เดือนมกราคม -กรกฎาคม 2568 พบว่าตลาดรวมมียอดขายทั้งสิ้น 351,796 คัน ลดลง 0.7% โดยแบ่งออกเป็นเซกเมนต์กลุ่มรถยนต์นั่ง ที่ขายได้ 136,242 คัน เพิ่มขึ้น 0.3% ส่วนเซกเมนต์กลุ่มรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ มียอดขายรวม 215,554 คัน ลดลง 1.4% ขณะที่ตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน มียอดขายรวม 109,557 คัน ลดลง 12%
สำหรับ 7 เดือนแรกของปี 2568 แบรนด์ที่ขายดีที่สุดยังคงเป็นโตโยต้า ตามมาด้วยอีซูซุ และฮอนด้า ส่วนแบรนด์จีนบีวายดี ตามมาในอันดับที่ 4 และอันดับ 5 เป็นของแบรนด์มิตซูชิบิ
ทางด้านตัวเลขยอดขายเดือนกรกฎาคม 2568 ตลาดรวมทำได้ 49,102 คัน เพิ่มขึ้น 5.8% โดยในเซกเมนต์กลุ่มตลาดรถยนต์นั่งปรับตัวดีขึ้น ด้วยยอดขายรวม 18,760 คัน เพิ่มขึ้น 13.3% จากปีที่ผ่านมา ส่วนตลาดรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ ยอดขาย 30,342 คัน เพิ่มขึ้น 1.7% และตลาดรถกระบะขนาด 1 ตัน ยอดขาย 14,842 คัน ลดลง 8% ด้านรถยนต์ HEV มียอดขาย 11,144 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ 24% และมียอดขายสะสมเจ็ดเดือนแรกถึง 78,354 คัน คิดเป็นส่วนแบ่ง 51% ของตลาด xEV ทั้งหมด
แนวโน้มตลาดรถยนต์เดือนสิงหาคม 68 ทรงตัว ปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า
นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์เดือนสิงหาคม มีแนวโน้มทรงตัว เนื่องจากความกังวลจากหลายปัจจัยและผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศ อาจส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการซื้อการปฏิเสธสินเชื่อของสถาบันการเงิน ยังคงอยู่ในระดับสูง รวมถึงภาคเอกชนยังคงรอดูนโยบายของรัฐบาลที่บรรเทาผลกระทบจากนโยบายภาษีทรัมป์
อย่างไรก็ดียอดขายของโตโยต้า ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมายังคงครองอันดับหนึ่งตลาดรถยนต์ ด้วยยอดขายสะสมเจ็ดเดือนแรก 132,049 คัน คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดที่ 37.5% นำโดย Hilux REVO 29,366 คัน และ Yaris ATIV 30,813 คัน
ส.อ.ท.เผย EV โตสวนกระแส ICE
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ในเดือนก.ค.68 ไทยสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ 3,610 คัน เพิ่มขึ้น 553.99 % ส่วนตัวเลขตั้งแต่ม.ค.-ก.ค.68 ไทยผลิตรถยนต์ไฟฟ้า จำนวน 27,408 คัน เพิ่มขึ้น 397.87% ขณะที่การขายรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) 9,304 คัน เพิ่มขึ้น 36.12 % ส่วนการส่งออกรถยนต์นั่งไฟฟ้า 120 คัน เพิ่มขึ้น 100 %และส่งออกรถกระบะไฟฟ้า 47 คัน เพิ่มขึ้น 100 %
"ปีนี้เป็นปีประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่ส่งออกรถยนต์นั่งไฟฟ้าและรถกระบะไฟฟ้าดังที่รัฐบาลและเอกชนร่วมมือกันให้ประเทศไทยเป็นฐานผลิตยานยนต์ใช้น้ำมันและยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าที่มีนโยบายและความพร้อมของโครงสร้างแตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกที่ไม่แน่นอนและการเข้มงวดในเรื่องการติดตั้งอุปกรณ์ช่วยขับเพื่อความปลอดภัยในรถยนต์และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพของรถยนต์ของประเทศคู่ค้า ทำให้การส่งออกรถยนต์เดือนนี้ลดลงในตลาดเอเชีย ออสเตรเลียและโอเชียเนีย และอเมริกาเหนือ ขณะที่เครื่องยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถยนต์ยังคงส่งออกเพิ่มขึ้น"
ส่วนยอดขายรถยนต์ในประเทศ โดยเฉพาะรถกระบะที่ลดลง นายสุรพงษ์ กล่าวว่าปัจจัยมาจากความเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อรถกระบะ เนื่องจากหนี้ครัวเรือนที่ยังสูงและเศรษฐกิจในประเทศที่ยังขยายตัวในอัตราต่ำ 2.8 % ในไตรมาส 2/2568 การลงทุนของเอกชนเติบโตแค่ 4.1 %สาขาอุตสาหกรรมเติบโตแค่ 1.7 % นักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนลดลงมาก ทำให้สาขาพักแรมและอาหารเติบโตเพียง 2.1 % ก็คงต้องติดตามการลงทุนของเอกชน การท่องเที่ยวและการบริโภคภาคเอกชนต่อไป และคาดหวังงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 จะช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตมากขึ้นจากปัจจุบัน
"ขณะเดียวกันต้องขอบคุณ กนง.ที่มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงช่วยให้ผู้กู้ลดภาระจ่ายดอกเบี้ยลง ทำให้ชำระคืนเงินกู้ได้มากขึ้น หนี้ครัวเรือนจะได้ลดลง และขอบคุณทีมไทยแลนด์ที่เจรจากับทีมงานประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จนได้อัตราภาษีศุลกากรนำเข้าสหรัฐอเมริกา 19% ซึ่งน่าจะดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและในประเทศได้มากขึ้นเพื่อส่งออกและสร้างงานสร้างรายได้ให้คนไทยมากขึ้น หนี้ครัวเรือนจะได้ลดลงจากการชำระหนี้ ไม่ใช่ลดลงเพราะสถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อซึ่งลดลงมาหลายไตรมาสแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้ภาษีทรัมป์ของไทยที่ 19% ดูจะเสียเปรียบเวียดนามที่ 20% เมื่อเงินด่องเวียดนามอ่อนค่ามาก"
ส่วนกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติวินิจฉัยให้นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงครม.ชุดนี้ก็ต้องสิ้นสุดการทำหน้าที่และพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ นายสุรพงษ์ ให้ความเห็นว่า ในมุมของเอกชนมีความกังวลเรื่องนโยบายว่าจะสะดุดหรือต่อเนื่องหรือไม่ นโยบายต่างๆจะยังคงเดินหน้าไหม ตรงจุดนี้มีผลกับนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ ที่อาจจะต้องชะลอ-ขอศึกษาเกี่ยวกับตัวนโยบายที่รัฐบาลใหม่จะประกาศออกมา
ประการต่อมาคือการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ จะใช้เวลามากน้อยเพียงใด จะทันเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 ในเดือนตุลาคมหรือไม่ ตรงนี้มีผลกับภาพรวมเศรษฐกิจ เพราะหากเร่งเบิกจ่ายก็จะช่วยฟื้นเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไป
"ความกังวลใจขอเอกชนน่าจะเป็นเรื่องนโยบายต่างๆจะเหมือนเดิมไหม จะขาดความต่อเนื่องหรือเปล่า ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็จะยิ่งกระทบกับเศรษฐกิจของเราที่มีความอ่อนแออยู่แล้ว ส่วนการฟอร์มทีมรัฐบาลหากล่าช้าก็อาจจะกระทบกับนักลงทุน กระทบความเชื่อมั่น จากที่จะลงทุนก็อาจจะชะลอ ขอศึกษาก่อน "