‘ศรีสุวรรณ’ บุก กกต.ร้องสอบ ‘สาวปริศนา’ ซื้อเสียงค่ายกมือโหวต 10 กิโล ชี้ผิดทั้งผู้ให้-ผู้รับ
15 ส.ค.2568- ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ศูนย์ราชการฯ อาคาร B นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อขอให้สืบสวนและไต่สวนกรณีมีคลิปเสียงสาวปริศนาเจรจาการซื้อเสียงโหวตจาก ส.ส.ว่อนอินเทอร์เน็ต อันเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน เป็นพฤติการณ์ของการทำลายระบอบประชาธิปไตยอย่างร้ายแรงและจะทำลายระบบพรรคการเมืองโดยสิ้นเชิง หาก กกต. นิ่งเฉยไม่สามารถหยุดยั้งกระบวนการนี้ได้
ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากการที่รองหัวหน้าพรรคประชาชน ออกมาเปิดเผยเรื่องการซื้อโหวต สส.พรรคประชาชน เพื่อให้ลงมติผ่านร่างกฎหมายของรัฐบาลและต่อมามี สส.ขอนแก่น พรรคประชาชน ออกมาโพสต์ข้อความยอมรับว่ามีการขอซื้อโหวตจริง เป็นเงินสด 10 กิโลกรัม แลกกับการลงมติร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ซึ่งกำลังจะมีการโหวตวาระ 2 และวาระ 3 ในสัปดาห์หน้านี้แล้ว รวมทั้งการโหวตร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ… หรือ กฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) ในอนาคต
พฤติการณ์ดังกล่าว น่าจะทำกันอย่างเป็นกระบวนการ ซึ่งหาก กกต.จะดำเนินการการสืบสวนหรือไต่สวนตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย สามารถทำได้อย่างง่าย เพียงเรียก สส.พรรคประชาชนที่ออกมาเปิดเผยตัวและยอมรับว่าได้สนทนาทางโทรศัพท์กับสาวปริศนานั้นจริงมาสอบสวน เพื่อเช็คเบอร์โทรศัพท์ต้นเสียงปลายทางจากระบบเครือข่ายเจ้าของค่ายมือถือ ก็จะรู้ความจริงได้ว่าเป็นใคร และมีสายสัมพันธ์กับนักการเมืองใหญ่คนใด พรรคการเมืองใด โทรไปคุยรับงานสั่งจากใครบ้าง เพราะการบันทึกสายโทรเข้า-โทรออกของเบอร์โทรของสาวปริศนาจะสามารถระบุเป็นหลักฐานได้ทั้งหมด ซึ่ง กกต.มีฝ่ายสืบสวนสอบสวนอยู่ล้นสำนักงาน การสอบหาความจริงง่ายๆเช่นนี้ไม่น่าจะเกินความสามารถ ถ้าตั้งใจจะเอาผิดกระบวนการทำลายประชาธิปไตยเยี่ยงนี้อย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตาม ตาม พรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มีอย่างน้อย 2 มาตรา บัญญัติโทษเกี่ยวกับการซื้อตัว ส.ส. เอาไว้ คือ มาตรา 30 ห้ามมิให้พรรคการเมืองหรือผู้ใดให้ เสนอให้ หรือสัญญาว่าจะให้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม เพื่อจูงใจให้บุคคลหนึ่งบุคคลใด สมัครเข้าเป็นสมาชิก ทั้งนี้ เว้นแต่สิทธิหรือประโยชน์ซึ่งบุคคลจะพึงได้รับในฐานะสมาชิก และมาตรา 31 ห้ามมิให้ผู้ใดเรียก รับ หรือยอมจะรับเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด จากพรรคการเมืองหรือจากผู้ใดเพื่อสมัครเข้าเป็นสมาชิก โดยมีบทลงโทษตามมาตรา 109 ระบุว่า ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 30 หรือ 31 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 5 ปี
นอกจากนี้การกระทำดังกล่าวหากผู้สั่งการมาจากคนของพรรคการเมืองก็อาจถูกสั่งยุบพรรคได้ ตามมาตรา 92 แห่ง พ.ร.บ.พรรคการเมืองฯ ระบุไว้ชัดเจนว่า เมื่อ กกต. มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองใดกระทำการ ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคการเมือง คือ กระทำการฝ่าฝืนมาตรา 30 ซึ่งเมื่อศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการไต่สวนแล้ว มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองกระทำการตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมือง และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้น
"นั่นหมายความว่าหาก กกต.สามารถสืบสวนสอบสวนหาหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า มีการใช้เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดในการ ‘ซื้อตัวหรือซื้อโหวต’ ส.ส. กันจริง ทั้ง ‘ผู้ให้’ และ ‘ผู้รับ’ จะต้องมีความผิดตามมาตรา 30 และ 31 โดยโทษสูงสุดคือติดคุก ส่วนโทษทางการเมืองคือพรรคที่ซื้อตัวอาจถูกยุบได้ด้วย" นายศรีสุวรรณ กล่าวในที่สุด