ลกยุคใหม่แห่สะสมบิตคอยน์ ไทยเสี่ยงจ่ายแพง หากซื้อช้า
ท่ามกลางกระแสทั่วโลกที่ทั้งประเทศและบริษัทยักษ์ใหญ่เร่งสะสมบิตคอยน์เพื่อกระจายความเสี่ยงทางการเงิน “คุณท็อป จิรายุส”ประเมินว่าหากประเทศไทยยังคงลังเล อาจต้องเผชิญภาวะ “ต้นทุนพุ่ง” เมื่อราคาทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง เพราะการตัดสินใจล่าช้าอาจทำให้เสียโอกาสเชิงยุทธศาสตร์ด้านการเงินระยะยาว
ปัจจุบันราคาบิทคอยน์ปรับตัวเพิ่มขึ้น เกือบแตะ 4 ล้านบาท คุณ “ท๊อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ผู้ก่อตั้งและกรรมการ บริษัท บิทคับ ออนไลน์ จำกัด ได้เปิดเผยถึงประเด็นดังกล่าวว่า หากมองถึงบริบทบนโลกใบนี้ที่จริงแล้วบิตคอยน์อาจไม่ได้ ราคาเพิ่มขึ้นก็ได้ แต่ทรัพย์สินอื่นต่างหากที่มูลค่าลดลง ทั้งค่าเงินดอลล่าร์ เงินบาทไทย หรือเงินเฟียต (Fiat Currency) นั้นเอง เพราะธนบัตรที่ทยอยพิมพ์ออกมาเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันหมดทำให้มีมูลค่าที่มีอยู่ปรับลดลง
แต่บิทคอยน์นั้นเปรียบเสมือน Heart Money เพราะมีแค่ 21 ล้านยูนิต เท่านั้นไม่สามารถทยอยออกมาเพิ่มได้ ซึ่งบริษัทต่างๆในปัจจุบัน เริ่มทยอยเก็บบิทคอยน์มากขึ้น รวมถึงแบงก์ชาติสหรัฐฯ ก็จะเริ่มเดินหน้าซื้อบิทคอยน์เป็นทุนสำรองของประเทศ ปัจจุบันนั้นสหรัฐฯ ถือครองบิทคอยน์อยู่ราว 2 แสนบิทคอยน์ เเละมีเป้าหมายจะซื้อถึง 1 ล้านบิทคอยน์ ในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งมองว่ากลุ่ม G7 G20 ก็ต้องซื้อตาม แม้แต่ประเทศไทยเองก็ต้องซื้อตามเพราะโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว
รวมถึง จีน อังกฤษ ก็ต่างถือบิตคอยน์เป็นทุนสำรองเช่นเดียวกัน ซึ่งคาดว่าในหลายๆประเทศทุกโลกต่อจากนี้ จะเริ่มซื้อบิตคอยน์เพิ่มมากขึ้นในอนาคต ซึ่งหากประเทศสุดท้ายที่ซื้อบิทคอยน์ ราคาก็จะมีความแตกต่างกัน ซึ่งก็จะทำให้เกิดประเทศขาดดุลอย่างมหาศาล เนื่องจากต้นทุนราคาบิทคอยน์ที่สูงขึ้นอย่างมาก คล้ายกับยุคแรกๆ ที่เหล่าบรรดาแบงค์ชาติต่างเข้าซื้อทองคำเป็นทุนสำรอง นั่นคือยุค Real Sector / Real economy นั่นเอง
ซึ่งวันนึงหากโลกเปลี่ยนไป สกุลเงินต่างๆ ด้อยค่าลงไปอย่างต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นประเทศจะส่งมาถึงตัวของทุนสำรองซึ่งหากประเทศไทยไม่มีทุนสำรองเป็นบิทคอยน์ ก็จะทำให้กระทบต่อการแลกเปลี่ยนเงินตรา(Currency Exchange) ที่เป็นสินทรัพย์ดิจิทัล(Stablecoin)
และมองว่าทุกๆสกุลเงินก็จะถูก Tokenization หรือ กระบวนการแปลงสินทรัพย์ทางกายภาพ เป็นโทเคนดิจิทัล (Digital Token) แต่อย่างไรก็ตามต้องมีสินทรัพย์ค้ำประกันที่เป็นในโลกดิจิตอลที่เรียกว่า
”บิทคอยน์“ ก็จะทำให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต รวมถึงการพัฒนา Financial hub ของประเทศไทย ว่าจะสามารถพัฒนาให้เป็น FinTech Hub ได้จริงหรือไม่ รวมไปถึงการพัฒนาด้านการชำระเงินด้วยคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) เป็นต้น
โดยล่าสุดนั้น นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้เซ็น GENIUS Act เป็นกรอบกฎหมายฉบับแรกของรัฐบาลกลางที่ครอบคลุมการกำกับดูแล Stablecoin เพื่อการชำระเงิน ซึ่งเป็นเหรียญที่มีมูลค่าผูกกับสกุลเงิน เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะมาแทนที่ Credit Card หรือ MasterCard ต่อไปในอนาคต
ด้านการท่องเที่ยวก็อาจจะเติบโตขึ้น ในประเทศที่รับชำระผ่านคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) เป็นหลักเนื่องจาก เป็นการใช้จ่ายที่สะดวกสบาย และนั่นอาจจะทำให้ประเทศไทย ได้รับผลกระทบในด้านของการท่องเที่ยว เพราะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่มีเงินมหาศาลจากเศรฐกิจคริปโทเคอร์เรนซีนั้นเลือกไปประเทศที่รับชำระเงินผ่านช่องทางดังกล่าวมากขึ้น ดูจากมาร์เก็ตแคปที่โตขึ้นหลายเท่าตัวในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเสียโอกาสทางธุรกิจต่างๆตามมา
“หากประเทศไทยยังช้าในการซื้อบิทคอยน์เป็นทุนสำรอง เชื่อว่าอีกหน่อยประเทศที่มีการถือครองบิทคอยน์อยู่ในมือยกตัวอย่างเช่น "ภูฏาน"จะก้าวขึ้นมามั่งคั่งกว่า เพราะฉะนั้นประเทศไทยต้องเริ่มขยับตัวให้เร็วขึ้น ก่อนที่จะสายเกินไป”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง