"ธนาธร" เชื่อ พรรคประชาชน ยึดมั่นในอุดมการณ์ ไม่มีดีลแลกผลประโยชน์
"ธนาธร" เชื่อ พรรคประชาชน ยึดมั่นในอุดมการณ์ ไม่มีดีลแลกผลประโยชน์ เผย คุย ‘อนุทิน’ ล่าสุด เมื่อเช้านี้ แค่กดโทรผิด ย้ำ ไม่มีดีลแดง - น้ำเงิน
วันที่ 18 ก.ค. 68 ที่ โรมแรม อีสติน แกรนด์ พญาไท นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เปิดเผยในรายการ Exclusive Talk 55 ปี Nation ผ่าทางตันประเทศไทย พิธีกรถามนายธนาธร ว่า พรรคประชาชนที่เป็นฝ่ายค้านพยายามเรียกร้องความยุติธรรม และโอกาสแห่งความก้าวหน้าแต่พอทำหน้าที่ค้านก็ดูเหมือนค้านไม่เต็มหมัด มันมีดีลอะไรกันหรือไม่ จึงทำให้สิ่งเรียกร้องเหล่านี้ดูไม่เป็นรูปธรรม
นายธนาธร ระบุว่า ตนคิดว่ามีความพยายามที่จะบอกว่าเพื่อนของตนที่อยู่ในพรรคประชาชน เอียงแดงบ้าง เอียงน้ำเงินบ้าง ซึ่งตนเชื่อมั่นในพวกเขา ตนเชื่อมั่นในเพื่อนที่อยู่ในพรรคว่า พวกเขาทำอะไรก็จะซื่อตรงต่ออุดมการณ์ตลอด แน่นอนที่สุดการพูดคุยระหว่างพรรคการเมืองมันมีแน่นอน เพราะสภาฯ มันเป็นที่ของการพูดคุยกัน เส้นต่างหากที่สำคัญ ถ้าข้ามเส้นของการเอาผลประโยชน์ของประเทศไปต่อรองเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนเมื่อไหร่ ยังงี้ถือเป็นการพูดคุยที่ผลไม้ผิดของสังคม แต่ถ้าพูดคุยการหาทางออกร่วมกัน ก็เป็นเรื่องปกติ
เมื่อพิธีถามว่า ได้คุยกับผู้นำแดงผู้นำเงินบ้างหรือไม่ ธนาธร กล่าวว่า ในการทำงานตั้งแต่ระดับ สส. กรรมาธิการ ไปจนถึงระดับแกนนำของพรรคมีการพูดคุยกัน โดยที่ส่วนตัวของตนไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการพูดคุยต่างๆ เหล่านี้ ถ้าลองสังเกตดูว่า ถ้ามีสัญญาณว่าแกนนำของพรรคหรือพวกเราคนไหนไปคุยกับพรรคอื่นหรือกลุ่มการเมืองอื่น และเอาผลประโยชน์เข้ากับตัวเอง ตนคิดว่าตรงนี้จะไม่มีสัญญาณ แต่เรื่องที่มีการคุยกันหรือไม่นั้น มีแน่ๆ เช่น เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญหรือนิรโทษกรรมจะเอาอย่างไร ซึ่งมีการคุยกันเชิงประเด็นอย่างนี้ ซึ่งการพูดคุยกันของเพื่อนตนที่อยู่ในพรรคประชาชนไม่ล้ำเส้นนี้แน่นอน
พิธีกรถามต่อว่า นายธนาธรเจอนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ นายธนาธร ตอบว่า ”ก็อย่างที่ทุกคนรู้กันนั่นแหละครับ“ พร้อมหัวเราะ ก่อนกล่าวต่อว่า เรื่องนี้พูดให้ชัดจะได้ไม่ต้องมีข้อสงสัย โดยตอนที่ตนไปพบนายทักษิณที่ฮ่องกง เรื่องมันสืบเนื่องมาจากว่า มีคนติดต่อมาหาชัยธวัช ตุลาธน ซึ่งตอนนั้นยังเป็นเลขาธิการพรรคก้าวไกล ให้คุยกับนายทักษิณ เป็นช่วงหลังเลือกตั้ง ซึ่งชัยธวัช มองว่า เป็นการไม่เหมาะสม เพราะนายชัยธวัชเป็นเลขาธิการพรรค จึงบอกว่าให้ตนไปคุยแทน จึงเป็นที่มาของการพูดคุยกัน และหลักจากนั้นก็ไม่มีการพูดคุยกันอีก
ส่วนนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หรือผู้บารมีของพรรคภูมิใจไทยบ้างหรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า กับนายอนุทินก็มีการพูดคุยกันบ้าง ซึ่งครั้งล่าสุด ก็คือเมื่อเช้าวันนี้ โดยนายธนาธร เผยว่า เป็นการโทรไป แต่เกิดจากการกดผิด พร้อมย้ำว่า หากไม่เชื่อโทรไปถามนายอนุทินได้เลย
พิธีกรถามต่อว่า หากมีปัญหาทางการเมือง หรือในการเลือกตั้งครั้งหน้า แล้วมีพรรคใดพรรคหนึ่งระหว่างพรรคแดงกับพรรคน้ำเงินชวนไปตั้งรัฐบาล มีโอกาสกับพรรคไหนมากที่สุด นายธนาธร กล่าวว่า ปัญหาในเรื่องนี้ตอบยาก แต่ตนยังเชื่อว่า โอกาสที่พรรคประชาชนจะเกิน 250 เสียงพรรคเดียว ยังมีโอกาส ไม่ใช่เป็นศูนย์แน่นอน แต่ถ้าไม่ถึง และจำเป็นต้องเลือกระหว่างพรรคได้พรรคหนึ่ง มีอยู่ 2 ประการที่เป็นปัจจัยที่สำคัญ คือ 1.ผลของการเลือกตั้งว่าผลเป็นอย่างไร 2.เรื่องของการยอมรับนโยบายที่พรรคประชาชนได้หาเสียงไว้มาเป็นนโยบายหลักในการบริหารประเทศ ซึ่ง 2 เงื่อนไขนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ให้แกนนำพรรคประชาชนในการตัดสินใจร่วมรัฐบาลหรือไม่กับพรรคไหน
เหตุผลที่คุณพิธา และพรรคก้าวไกลทำ MOU ก็เป็นเรื่องนี้ บอกประชาชนว่าคุยอะไรกัน คือสิ่งที่เราคุยกัน และทำร่วมกัน 4 ปีหลังจากนี้ เราจะทำตามเอกสารแผ่นนี้นะ ผมก็เชื่อว่าพรรคประชาชนก็จะเดินไปแบบนั้น ว่าเราคุยกันเรื่องนี้ และเราจะพาประเทศไปแบบนี้ มันต้องเปิดเผยให้ประชาชนรู้ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก นายธนาธร กล่าว
ส่วนที่มีคนมองว่า พรรคประชาชนทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้ไม่เต็มหมัด ในคดีเขากระโดง และคดีฮั้ว สว. มีการดีลกับพรรคน้ำเงินหรือไม่ นายธนาธร ย้อยถามกลับว่า สรุปแล้ว พรรคประชาชนฮั้วกับพรรคภูมิใจไทยหรือพรรคเพื่อไทยกันแน่ โดยยกตัวอย่าง การอภิปรายในสภาฯ ของพรรคประชาชน แสดงให้เห็นว่า ไม่ได้เกรงใจพรรคเพื่อไทย ซึ่งการทำงานบ่งบอกตัวเอง อย่างคดีของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ก็มีนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.พรรคประชาชน เป็นคนทำ ดังนั้นอะไรที่ข้ามเส้นความไม่ถูกต้อง พรรคประชาชนก็ไม่เกรงใจใคร
ส่วนที่ไม่ได้ยื่นคดีตั๋ว PN ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็ถูกต่อว่าเกรงใจพรรคเพื่อไทย ตนคิดว่า ข้อสันนิษฐานว่าเราเกรงใจฝั่งไหน ไม่เป็นความจริง ไม่มีดีลแดง น้ำเงิน
“อย่างน้อยในความรู้สึกของผม ไม่มีดีลอะไรระหว่างก้าวไกลกับใคร ที่เอาผลประโยชน์ประชาชนไปแลกกับประโยชน์ของตนเองไม่ว่าจะพรรคไหน ไม่มี” นายธนาธร กล่าว
นายธนาธร กล่าวอีกว่า กรณีตั๋ว PN ของ นส.แพทองธาร เนื่องจากทางนิตินัยมันกำกวมทางกฎหมาย ทางพรรคจึงยื่นถามกรมสรรพากรว่าถูกหรือผิด แต่ถ้าจะให้เราไปยื่นฟ้องจริยธรรมนั้น ตนไม่ทำ เราอภิปรายไม่ไว้วางใจ เราใช้กลไกทางสภาฯ
ประเด็นที่สำคัญ เราไม่ใช้มาตรฐานจริยธรรม เราไม่ลากประเทศไทยเข้าสู่นิติสงคราม ความหมายคือใช้อำนาศาลรัฐธรรมนูญมาตีความ เพราะการตีความด้านจริยธรรมมันกว้างมาก มันกลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง อะไรที่เป็นจริยธรรมในมาตรฐานของผมไม่เท่ากันอยู่แล้ว จริยธรรมไม่มีอะไรบ่งชี้วัดได้ มันอาจไม่เป็นธรรม และที่สำคัญหลายกรณีไม่ได้สัดส่วน ดังนั้นเมื่อจับต้องมาตรฐานไม่ได้ เราไม่ควรเอาคำว่าจริยธรรมให้อำนาจกับองค์กรอิสระ ถ้าไม่มีอะไรผิดกฎหมายในความรับผิดชอบทางการเมือง ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ด้วยการบัตรเลือกตั้ง
ส่วนศาลรัฐธรรมนูญควรจะมีหรือไม่ นายธนาธร ระบุว่า ถ้าจะมี ต้องให้อำนาจแคบที่สุด ให้แค่ yes,no คือถูกหรือผิดรัฐธรรมนูญ ให้มีอำนาจแค่นี้ หรือถ้าไม่มี ก็ตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นกรณีในการวินิจฉัยเป็นเรื่องไป อย่างไรก็แล้วแต่ ต้องจำกัดอำนาจให้แคบ