Market Focus 04-08-2568
Gold Bullish
- ความต้องการทองคำจากธนาคารกลางและกองทุน ETF ทองคำ
- ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ รัสเซีย-ยูเครน
- คาดการณ์เฟดลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในปีนี้
Gold Bearish
- ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังแข็งแกร่ง
ราคาทองฟื้นตัวแรง หลังจ้างงานสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด
สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองโลกปิดตลาดเพิ่มขึ้น +26.4 ดอลลาร์ ปิดที่ 3,362.6 ดอลลาร์ หลังจากสหรัฐฯ เผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรแย่กว่าที่ตลาดคาด หนุนตลาดกลับมาคาดการณ์เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ ขณะที่เส้นตายเจรจาการค้าสหรัฐฯ นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลจากมาตรการภาษีตอบโต้ศุลกากร (Reciprocal Tariff) หลังจากที่ยุโรป ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าสำเร็จ เหลือเพียงอินเดียและจีน 2 ประเทศหลักของกลุ่ม BRICS ยังไม่สามารถหาข้อตกลงได้ ปัจจัยสำคัญ สหรัฐฯ ยังกดดันให้ อินเดียและจีน ห้ามซื้อน้ำมันจากรัสเซียที่ถูกคว่ำบาตร เพื่อตัดท่อน้ำเลี้ยงให้รัสเซียมีรายได้ไปใช้ทางพลเรือนและทหาร
สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้ารอบใหม่กับกว่า 70 ประเทศทั่วโลก โดยใช้โครงสร้างภาษีแบบแบ่งระดับ เริ่มต้นที่ 10% สำหรับประเทศที่สหรัฐฯ ได้เปรียบดุลการค้า และ 15% สำหรับประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุล พร้อมตั้งเพดานภาษีสูงสุดถึง 50% ในบางกรณี ประเทศที่โดนภาษีสูงที่สุด ได้แก่ บราซิล ที่ถูกเก็บรวมถึง 50% ตามหลังด้วยซีเรีย 41% เมียนมา 40% ลาว 40% และสวิตเซอร์แลนด์ 39% ขณะที่กลุ่มประเทศอื่นอย่างแอลจีเรีย ลิเบีย และแอฟริกาใต้ ถูกเก็บภาษีในระดับ 30% นอกจากนี้ ยังมีมาตรการลงโทษสินค้าที่ผ่านการ Transshipment ด้วยการเก็บภาษีเพิ่มอีก 40% เพื่อป้องกันการหลบเลี่ยงภาษีโดยอ้อม พร้อมประกาศขึ้นภาษีกับสินค้าจากแคนาดาบางรายการจาก 25% เป็น 35% โดยไม่ได้อยู่ภายใต้ข้อตกลง USMCA โดยคำสั่งภาษีชุดใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “America First” ที่ทรัมป์ผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง โดยหวังสร้างระบบการค้าใหม่ที่เน้นความเป็นธรรมและสมดุลระหว่างประเทศมากกว่าประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ
ทรัมป์กดดันกลุ่ม BRICS ห้ามสนับสนุนรัสเซีย
ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ยืนยันว่ารัสเซียยังคงเปิดกว้างสำหรับการเจรจาสันติภาพกับยูเครน แม้จะมีท่าทีแข็งกร้าวว่าในขณะนี้รัสเซียกำลังได้เปรียบในสนามรบ โดยกล่าวว่าการเจรจา 3 ครั้งที่ผ่านมานั้นมีผลลัพธ์ในเชิงบวก และรัสเซียคาดหวังให้กระบวนการเจรจายังคงดำเนินต่อไป อย่างไรก็ดี เขาย้ำว่ากองทัพรัสเซียกำลังปฏิบัติการรุกตลอดแนวรบ และสถานการณ์ในสนามรบบ่งชี้ว่ารัสเซียกำลังได้เปรียบ ขณะเดียวกัน ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ ทวีความรุนแรงมากขึ้น หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ประกาศว่าหากรัสเซียไม่ยุติสงครามที่ยืดเยื้อมานานกว่า 3 ปี ภายในวันที่ 8 สิงหาคม สหรัฐจะดำเนินมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติม ไม่เพียงต่อรัสเซียเท่านั้น แต่รวมถึงประเทศที่ยังคงซื้อพลังงานจากรัสเซีย โดยเฉพาะจีนและอินเดีย ล่าสุด ปธน.ทรัมป์ ได้โพสต์ข้อความใน Truth Social ระบุว่าเขาได้สั่งการให้เรือดำน้ำนิวเคลียร์ของกองทัพสหรัฐจำนวน 2 ลำ เข้าประจำการใกล้รัสเซีย เพื่อเป็นการตอบโต้คำพูดยั่วยุของนายดมิทรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีรัสเซียและปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานสภาความมั่นคงแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย ซึ่งออกมาเตือนว่ารัสเซียมีความสามารถในการใช้อาวุธนิวเคลียร์ตอบโต้สหรัฐได้โดยตรง
อินเดียกลับไม่ได้รับข้อตกลงที่ผ่อนคลายแบบเดียวกับเกาหลีใต้ โดยทรัมป์ประกาศว่า สหรัฐฯ จะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียในอัตรา 25% เริ่มวันที่ 1 สิงหาคมนี้ พร้อมขู่ว่าจะมีมาตรการเพิ่มเติม หากอินเดียยังคงซื้อพลังงานจากรัสเซียต่อไป ทรัมป์ระบุว่า อินเดียมีโครงสร้างภาษีที่สูงติดอันดับโลก และใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTBs) อย่างเข้มงวด ซึ่งส่งผลกระทบต่อสินค้าอเมริกันมาโดยตลอด แม้จะเป็นหนึ่งในประเทศแรกที่เริ่มเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แต่อินเดียกลับไม่ได้รับอัตราภาษีที่ผ่อนปรนเช่นเดียวกับประเทศในเอเชียอื่น ๆ ที่ได้รับการลดภาษีเหลือ 15-20% เท่านั้น
กระทรวงการค้าของอินเดียได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ภายหลัง โดยยืนยันจุดยืนในการผลักดันข้อตกลงที่ “ยุติธรรม สมดุล และเป็นประโยชน์ร่วมกัน” พร้อมปกป้องเกษตรกร ผู้ประกอบการ และธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจอินเดีย เนื่องจากกลุ่มเกษตรกรนั้นยังเป็นฐานเสียงสำคัญของนาย นเรนทรา โมดี อีกด้วย อย่างไรก็ตาม อินเดียยังคงยึดมั่นในหลักการการค้าเสรีตามแบบแผนที่ลงนามกับประเทศอื่น ๆ อย่างล่าสุดกับสหราชอาณาจักร
ขณะที่ต้องติดตามทรัมป์จะกำหนด “ขยาย” เส้นตายเจรจาการค้าสหรัฐฯ – จีน หรือไม่? นับว่าเป็นประเด็นที่มีความสำคัญอย่างมาก หลังจากที่จบการเจรจาระหว่างสหรํฐฯ – จีน รอบที่ 3 ที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน การเจรจาของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 และ 2 ของโลก ยังไร้สัญญาณความคืบหน้า ด้านสหรัฐฯ กดดันห้ามจีนซื้อน้ำมันจากรัสเซียที่ถูกคว่ำบาตร รวมถึงการขายสินค้าที่สามารถใช้งานได้ทั้งในทางพลเรือนและการทหารมูลค่า 15,000 ล้านดอลลาร์ ที่ช่วยส่งเสริมการทำสงครามของมอสโกในยูเครน ซึ่งปัจจุบัน จีน เป็นผู้ซื้อน้ำมันรัสเซียรายใหญ่ที่สุด อยู่ที่ราวๆ 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตามมาด้วย อินเดีย และ ตุรกี)
นายเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ จะหารือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับการอนุมัติการขยายเวลาผ่อนผันการขึ้นภาษีศุลกากรกับจีน เพื่อรอการอนุมัติขยายเส้นตายในวันที่ 12 สิงหาคม ออกไป
ทรัมป์ลงนามขึ้นภาษีนำเข้า “ทองแดง”
ทรัมป์ลงนามเก็บภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ทองแดงบางรายการ เช่น ท่อทองแดง สายไฟ แท่งทองแดง สายเคเบิล ขั้วต่อ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ จากทั่วโลกในอัตรา 50% เทียบเท่าภาษีที่ใช้กับเหล็กและอะลูมิเนียม โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ เช่นกัน ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องการผลิตของสหรัฐฯ ต้องถูกขายภายในประเทศด้วย เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมทองแดงของสหรัฐฯ ทางด้านเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า ทรัมป์ยอมรับว่าการพึ่งพาทองแดงจากต่างประเทศมากเกินไปในทุกรูปแบบอาจส่งผลให้ศักยภาพทางทหาร การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และนวัตกรรมทางเทคโนโลยีของประเทศเผชิญกับความเสี่ยง ซึ่งประเด็นดังกล่าวอาจส่งผลให้ราคาสินค้าภายในสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะในภาคการก่อสร้าง ระบบไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งล้วนใช้ทองแดงเป็นวัตถุดิบหลัก
ความสัมพันธ์ของราคาทองกับดุลการค้าสหรัฐฯ ที่น่าติดตาม
สหรัฐฯ เตรียมเปิดเผยตัวเลขดุลการค้า (Trade Balance) ประจำเดือนกรกฎาคม โดยนักวิเคราะห์ในตลาดคาดการณ์ว่า ดุลการค้าจะขาดดุลที่ระดับ (-6.76) หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวดีขึ้นจาก (-7.15) หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งหากตัวเลขออกมาตามคาดการณ์ จะสะท้อนถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของสมดุลการค้าสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน หลังจากที่เคยขาดดุลในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา อันเป็นผลจากการเร่งนำเข้าสินค้าปริมาณมากเพื่อกักตุนก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะประกาศใช้อัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff)
หากตัวเลขขาดดุลการค้าสหรัฐฯ ลดลง อาจเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น และอาจส่งผลลบต่อราคาทอง
CME FedWatch Tool เพิ่มคาดการณ์เฟดลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง
ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 29-30 ก.ค. 2568 มีมติด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 2 ตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิม 4.25-4.50% เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ที่น่าสังเกตคือคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ และมิเชล โบว์แมนลงมติให้ลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งทั้ง 2 ท่านเป็นคณะกรรมการผู้ว่าการเฟดที่ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีทรัมป์ ถือเป็นครั้งแรกที่มีกรรมการ 2 คนของคณะกรรมการผู้ว่าการเฟด แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2536
พาวเวล แถลงข่าวหลังการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินใจว่าธนาคารกลางจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนนี้หรือไม่ โดยย้ำว่าทางเฟดยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจเพิ่มเติมก่อนจะมีข้อสรุปใด ๆ เฟดจะประเมินผลกระทบจากนโยบายภาษีศุลกากรของรัฐบาล ซึ่งอาจมีบทบาทต่อทิศทางเงินเฟ้อ โดยระบุว่า ราคาสินค้าบางรายการเริ่มปรับตัวสูงขึ้นจากภาษีนำเข้าแล้ว แต่ผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อยังคงไม่ชัดเจน พร้อมย้ำจุดยืนเป้าหมายของเฟดยังคงเป็นการรักษาเสถียรภาพด้านราคาในระยะยาว และไม่ต้องการให้แรงกดดันด้านราคาชั่วคราวกลายเป็นภาวะเงินเฟ้อเรื้อรัง
ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดบ่งชี้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ชะลอตัวในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 โดยขยายตัวเพียง 1.2% ลดลงจาก 2.5% ในปีที่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่อ่อนแรงลง อย่างไรก็ตาม พาวเวลยังคงมั่นใจว่าเฟดอยู่ในจุดที่สามารถรับมือกับสถานการณ์เศรษฐกิจได้อย่างเหมาะสม ขณะที่โพลสำรวจจาก CME FedWatch Tool เพิ่มคาดการณ์เฟดจะลดดอกเบี้ยในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่เหลืออีก 3 ครั้งในปีนี้ โดยจะปรับลดครั้งละ 0.25% เริ่มจากเดือนกันยายน ตุลาคม และ ธันวาคม รวม 0.75% สู่ระดับ 3.50 – 3.75%
ธนาคารกลางทั่วโลกชะลอการซื้อทองคำ
ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2025 ความต้องการทองคำทั่วโลกยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ระดับ 1,249 ตัน คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 132 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นมากถึง 45% จากแรงหนุนของราคาทองคำที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจและการเมืองโลกยังเปราะบาง
ข้อมูลจาก World Gold Council สะท้อนว่าในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ธนาคารกลางซื้อทองคำ 166.5 ตันในช่วงสามเดือน ลดลง 1 ใน 3 จากไตรมาสแรก ส่งผลให้การซื้อทองคำในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2565 และมีการคาดการณ์ว่าความต้องการทองคำของธนาคารกลางจะอยู่ที่ประมาณ 815 ตันในปี 2568 ทั้งนี้ความต้องการทองคำแท่งเพิ่มขึ้น 21% ในไตรมาส 2 สามารถชดเชยการชะลอตัวของความต้องการเหรียญทองคำที่ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันกองทุนทองคำที่มีสินทรัพย์จริงหนุนหลัง (Gold ETFs) บันทึกเงินไหลเข้าสูงสุดในรอบครึ่งปี นับตั้งแต่ครึ่งปีแรกของปี 2020 ตามที่ WGC รายงานไว้เมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคม
WGC ได้ปรับลดประมาณการการซื้อทองคำของธนาคารกลางตลอดทั้งปีนี้ลง แต่ระบุว่าแนวโน้มระยะยาวของการที่ธนาคารกลางทั่วโลกปรับสัดส่วนการถือสินทรัพย์จากดอลลาร์สหรัฐฯ มาสู่ทองคำยังคงอยู่ ขณะที่ Gold ETF ยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้อีกในช่วงครึ่งปีหลัง แม้ว่าการลงทุนรายย่อยอาจชะลอลงเล็กน้อย
ตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะเปิดเผยในสัปดาห์
- 5 ส.ค. - ดุลการค้าสหรัฐฯ, ดัชนี PMI ภาคการบริการ โดย ISM
- 7 ส.ค. - ดุลการค้าจีน, การประชุมธนาคารกลางอังกฤษ ตลาดคาดปรับลดดอกเบี้ยจาก 4.25% สู่ระดับ 4.00%
แนวโน้มราคาทอง
ราคาทองโลกปรับตัวขึ้นแรง กลับมายืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ EMA ทุกเส้นอีกครั้ง ขณะที่ RSI และ Stochastic Oscillators เกิดสัญญาณกลับตัวขึ้น ส่งผลให้ภาพการเคลื่อนไหวในสัปดาห์คาดมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ โดยมีแนวต้านที่ 3,410 ดอลลาร์ ตามเส้นกดของ Symmetrical Triangle และถัดไปที่บริเวณจุดสูงสุดเดิมที่ 3,440 ดอลลาร์ ขณะที่แนวรับที่ 3,320 และ 3,265 ดอลลาร์
แนะนำการลงทุนในสัปดาห์ เปิดสถานะซื้อเมื่อราคาปรับตัวลงบริเวณ 51,000 – 51,100 บาท โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ระดับ 50,700 บาท ขณะที่สามารถปิดขายทำกำไรบางส่วน เมื่อราคาปรับตัวขึ้นบริเวณ 52,100 บาท และถัดไปที่ระดับ 52,400 บาท