BH กำไร Q2/68 ต่ำสุด ลุ้นครึ่งหลังฟื้น
หุ้นวิชั่น
อัพเดต 17 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 21 ชั่วโมงที่ผ่านมา • HoonVision | หุ้นวิชั่น - หุ้น ข่าวหุ้น หุ้นไทยวันนี้ หุ้นวันนี้ หุ้นเด่น วิเคราะห์หุ้น ธุรกิจ การเงิน เศรษฐกิจ การลงทุน ดัชนีราคาหุ้นหุ้นวิชั่น-BH นักวิเคราะห์ฯ คาด BH จะรายงานกำไรอยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท ลดลงทั้ง QoQ และ YoY ซึ่งจะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ ถูกฉุดตามรายได้จากตะวันออกกลางที่ลดลง และได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ภาวะเศรษฐกิจ และจำนวนนักท่องเที่ยวชะลอตัวลง พร้อมคาดไตรมาส 3/2568 ลุ้นกำไรฟื้นตัว QoQ จากปัจจัยฤดูกาล ที่เอื้อต่อการเข้าใช้บริการโรงพยาบาล และการกลับเข้ามาใช้บริการของคนไข้ต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยตะวันออกกลางเช่น กาตาร์ UAE ที่คาดจะกลับเข้ามามากขึ้น หลังจากที่มีการเลื่อนเข้ารับการรักษาในช่วงก่อนหน้า
บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) คาดบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) (BH) กำไรปกติไตรมาส 2/68 จะลดลง 6.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และ 15.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) มาอยู่ที่ 1.6 พันล้านบาท ซึ่งน่าจะเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 8 ไตรมาส โดยคาดรายได้จะลดลงทั้ง QoQ และ YoY ซึ่งจะกดดันอัตรากำไรด้วย
การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นของตลาดคนไข้ตะวันออกกลาง BH น่าจะต้องเผชิญกับการสูญเสียส่วนแบ่งตลาดตะวันออกกลางต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากกาตาร์ที่รายได้ลดลง YoY ในไตรมาส 1/2568 หลังจากเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 1-4/2567
พรีวิวไตรมาส 2/2568 สะท้อนว่า BDMS และ PR9 น่าจะมีรายได้จากตะวันออกกลางเติบโตแข็งแกร่ง YoY ซึ่งน่าจะหนุนการเติบโตของรายได้จากกาตาร์เป็นหลัก แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคตะวันออกกลางดูอ่อนตัวในช่วงเดียวกัน นอกจากนี้ คนไข้ชาวคูเวตที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลยังคงไม่มีการฟื้นตัว ทั้งนี้ แม้ BH มีความพยายามในการเจาะตลาดใหม่ๆ แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จในการพลิกฟื้นรายได้รวม และจากบริการระดับพรีเมียมทำให้การแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งน่าจะทำได้จำกัด
การบริหารจัดการเงินทุนขับเคลื่อนด้วยเงินปันผล คาดว่าเงินปันผลต่อหุ้น (DPS) จะคงที่ที่ 5 บาท ตั้งแต่ปี 2568 ซึ่งเท่ากับปี 2567 โดยอัตราการจ่ายจะเพิ่มขึ้นเป็น 59%-83% (ปี 2568-70) จาก 51% ในปี 2567 โดยกระแสเงินสดสุทธิของ BH สนับสนุนสมมติฐานดังกล่าว โดยเชื่อว่า BH มีแนวโน้มไม่น่าทำการซื้อหุ้นคืน
แนวโน้มไตรมาส 3/2568 คาดว่ารายได้จะฟื้นตัว QoQ จากผลของช่วงไฮซีซั่นของคนไข้ตะวันออกกลาง แต่รายได้น่าจะทรงตัวถึงลดลงเล็กน้อย YoY เนื่องจากแนวโน้มรายได้จากคนไข้ตะวันออกกลางที่ลดลง นอกจากตลาดนี้ ผลการดำเนินงานน่าจะมีแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจ และความตึงเครียดชายแดนไทยและกัมพูชา
ปรับลดประมาณการกำไร ปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2569-70 ลง 18% เพื่อสะท้อนสมมติฐานรายได้และอัตรากำไรที่ลดลง และมีสมมติฐานการจ่าย DPS คงที่ที่ 5 บาท ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป จากเดิมที่คาดอัตราการจ่ายปันผลที่ 51-53% ในปี 2568-70 ขณะที่โรงพยาบาลสาขาภูเก็ตยังไม่รวมอยู่ในประมาณการ
แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 152.00 บาท จากการปรับลดประมาณการกำไรหลังปี 68 อย่างไรก็ตาม ราคาปัจจุบันน่าจะสะท้อนแนวโน้มการเสียส่วนแบ่งตลาดคนไข้ตะวันออกกลางแล้ว
บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด คาดผลการดำเนินงานช่วงไตรมาส 2/2568 มีรายได้จากกิจการโรงพยาบาล6,082 ล้านบาท (-3.5%YoY,-1.0%QoQ) ลดลงจากปัจจัยฤดูกาลและแม้ในงวดนี้จะไม่ได้รับผลจากช่วงรอมฎอนที่สิ้นสุดไปในช่วงไตรมาส 1/2568 แล้ว แต่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ทาให้ผู้ป่วยต่างชาติเลื่อนการเข้ารับบริการจำนวนนักท่องเที่ยวชะลอตัวลง รวมถึงด้านสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา แม้จะได้รับผลกระทบจำกัด
คาดอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 49.8% ลดลงจากช่วงไตรมาส 2/2567 ที่ 52.3% ตามแนวโน้ม Utilization ที่ลดลงขณะที่สัดส่วนของค่าใช้จ่ายต่อรายได้เพิ่มขึ้นมาอยูที่ระดับ 17.8% เทียบกับไตรมาส 2/2567 ที่ 16.0% ส่งผลให้คาดกำไรสุทธิในงวด เท่ากับ 1,681 ล้านบาท (-13.0%YoY,-3.1%QoQ) หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 27.2% ลดลงจากช่วงไตรมาส 2/2567 ที่ 30.2% คาดเป็นจุดต่ำสุดของปี
สำหรับช่วงครึ่งปีหลัง คาดพัฒนาการจะดีขึ้นตามการเข้าสู่ high season ของกลุ่มโรงพยาบาลแต่เบื้องต้นมองแนวโน้มยังคงชะลอตัว YoY ทั้งไตรมาส 3/2568 และไตรมาส 4/2568 จากฐานที่สูงปีก่อนเทียบกับปีนี้มีปัจจัยกดดันจากภาวะเศรษฐกิจแนวโน้มนักท่องเที่ยวชะลอตัว และผู้ป่วยจากเมียนมาที่ลดลงหลังจากเหตุแผ่นดินไหว
เบื้องต้นคงประมาณการณ์ทั้งปีรายได้จากกิจการโรงพยาบาลเท่ากับ 24,895 ล้านบาท (-3.2%YoY) และกำไรสุทธิ7,177 ล้านบาท (-7.7%YoY) จากแนวโน้ม Utilization ที่ลดลงจากปีก่อนและระดับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นมาอยู่ที่ 17.3% จากปีก่อนที่ระดับ 16.2%
คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเหมาะสมที่ 203 บาท/หุ้น โดยอิง PER ที่ 22.5 เท่า ซึ่งเท่ากับ PER เฉลี่ยของกลุ่มโรงพยาบาลที่ซื้อขายกันในช่วงต้นปีนี้ซึ่งสะท้อนมุมมองต่อภาวะเศรษฐกิจที่ค่อนข้างมีความอ่อนไหวและปัจจัยลบต่อรายได้ผู้ป่วยต่างชาติไปพอสมควรแล้วทั้งนี้แม้ว่าปีนี้ผลการดำเนินงานมีโอกาสไม่เติบโตต่อจากปีก่อน แต่ด้านราคามองว่ายังน่าซื้อสะสม
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด คาดกำไรไตรมาส 2/2568 ที่ 1,687 ล้านบาท หดตัว 12.7% YoY และ 2.7% QOQ ต่ำสุดของปี ตามรายได้โรงพยาบาลที่ปรับตัวลดลง 4.5% YoY และ 2.0% QoQ ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์เดิม โดยมีปัจจัยกดดันจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ทําให้คนไข้ต่างชาติส่วนใหญ่เลื่อนการเข้ารับบริการเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับ Aftershock ทั้งนี้ใช้เวลาประมาณ 7 วันจึงกลับสู่สภาวะปกติ
สําหรับผู้ป่วยชาวเมียนมาร์ซึ่งคิดเป็นประมาณ 6% ของรายได้โรงพยาบาลกลับมาเข้ามาใช้บริการช้ากว่าประเทศอื่นเล็กน้อยเนื่องจากได้รับผลกระทบแผ่นดินไหวภายในประเทศที่รุนแรงกว่าประเทศไทยนอกจากนี้ในเดือน เม.ย. ซึ่งตรงกับช่วงเทศกาลสงกรานต์มีวันหยุดยาวหลายวันติดกันส่งผลให้ผู้ป่วยชาวไทยเข้าใช้บริการลดลงแม้ว่าผู้ป่วยตะวันออกกลางเริ่มทยอยกลับเข้ามาใช้บริการมากขึ้นหลังสิ้นสุดเดือนรอมฏอน ซึ่งส่วนใหญ่เข้ามารักษาโรคร้ายแรงที่มีมาร์จิ้นสูง ประกอบ BH ได้ปรับขึ้นค่ารักษาประมาณ 4% ตั้งแต่ต้นปีแต่ยังไม่สามารถชดเชยผลกระทบได้ทั้งหมดด้านอัตรากําไรขั้นต้นคาดอยู่ที่ 50.5% ลดลงจาก 52.1% ในช่วงเดียวกันปีก่อนแต่ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 50.3% จากการกลับเข้ามาใช้บริการของผู้ป่วยตะวันออกกลางขณะที่ SG&A/Sales คาดขยับขึ้นจาก16.0% ในไตรมาส 2/2567 เป็น 17.8% ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อนหน้าอยู่ที่ 17.7% จากค่าใช้จ่ายพนักงานที่เพิ่มขึ้น
ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชากระทบจํากัด
ประเด็นความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชาต่อรายได้ของ BH ฝ่ายวิจัยประเมินผลกระทบค่อนข้างจํากัดเนื่องจากผู้ป่วยชาวกัมพูชาคิดเป็นประมาณ 4% ของรายได้โรงพยาบาลปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมที่มีกําลังซื้อสูงและนิยมเดินทางเข้ามารับการรักษาโรคร้ายแรงที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูง อย่างไรก็ตามฐานคนไข้กัมพูชาได้ชะลอตัวลงค่อนข้างมากแล้วตั้งแต่ช่วงก่อนหน้าอันเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัว ประกอบกับการแข่งขันของโรงพยาบาลในประเทศที่มีความรุนแรงมากขึ้น
3Q68 ลุ้นกําไรกลับมาฟื้นตัว QoQ
ฝ่ายวิจัยคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 3/2568 จะกลับมาดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากฤดูกาลที่เอื้อต่อการเข้าใช้โรงพยาบาล โดยปีนี้ฝนมาเร็วและมีปริมาณมากกว่าทุกปีส่งผลให้เกิดการระบาดของโรคตามฤดูกาล เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้รับแรงสนับสนุนจากการกลับเข้ามาใช้บริการของคนไข้ต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยตะวันออกกลางเช่น กาตาร์ UAE ที่คาดจะกลับเข้ามาใช้โรงพยาบาลมากขึ้นหลังจากที่มีการเลื่อนเข้ารับการรักษาในช่วงก่อนหน้า
รวมถึงการกลับเข้ามาใช้บริการของผู้ป่วยชาวเมียนมาร์ภายหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวในประเทศคลี่คลาย อย่างไรก็ตามเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน คาดชะลอตัว YoY จากฐานสูงในช่วงเดียวกันปีก่อนบวกกับประเด็นความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชาดังกล่าวข้างต้นและผู้ป่วยชาวจีนซึ่งคิดเป็นประมาณ 3% ของรายได้โรงพยาบาลมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากนโยบายรัฐบาลจีนที่ส่งเสริมให้ประชาชนใช้จ่ายและบริโภคภายในประเทศมากขึ้นขณะที่กลุ่มผู้ป่วยชาวไทยที่อาจเข้าใช้บริการลดลงจากผลกระทบทางเศรษฐกิจจากปัจจัยลบข้างต้นฝ่ายวิจัยจึงมีการปรับสมมติฐานรายได้รพ.ลง 10% มาอยู่ที่ 24,895 ล้านบาท ลดลง 2.9% YoY เพื่อสะท้อนแนวโน้มรายได้โรงพยาบาลครึ่งปีแรกที่คาดจะปรับตัวลดลง 5.3%YoY แต่ยังคงรักษาระดับมาร์จิ้นเดิมจากความรุนแรงของโรคในช่วงที่เหลือของปีที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหักลบค่าใช้จ่ายพนักงานที่อาจขยับขึ้นเล็กน้อยส่งผลให้กําไรสุทธิทั้งปี 68 อยู่ที่ 7,027 ล้านบาท ลดลงจากประมาณการเดิม 10%
ให้น้ำหนักการลงทุน Neutralราคาเหมาะสม 200บาท
หลังการปรับลดประมาณการลงส่งผลให้ราคาเหมาะสมใหม่อิง DCF ลดลงจาก 230.00 บาท เหลือ 200.00 บาทคิดเป็น Implied PER 23 เท่าแม้มี Upside สูง 46%แต่ผลประกอบการไตรมาส 2/2568 ชะลอมากกว่าที่คาดไว้หลักจากปัจจัยฤดูกาลและผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ทําให้คนไข้ต่างชาติกลับเข้าใช้บริการได้น้อยกว่าคาดกดดันราคาหุ้นช่วงสั้นทําให้ BH ยังไม่สามารถเอาชนะตลาดได้แม้ราคาหุ้นปัจจุบันปรับตัวลงมาค่อนข้างมากก็ตามฝ่ายวิจัยคงน้ำหนักการลงทุน Neutral โดยจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุนแนะนําเป็นช่วงหลังประกาศงบไตรมาส 2/2568 เพื่อรองรับ High Season ในไตรมาส 3/2568 และอาจลากยาวไปถึงไตรมาส 4/2568 ที่คาดว่าผลการดําเนินงานจะกลับมาเติบโตได้ดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก