ความเหงา ภัยสุขภาพระดับโลก WHO ทำคนตายได้ ต้องรีบเยียวยา-ฟื้นฟู
ความเหงาเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนซึ่งส่งผลกระทบต่อมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเพศใด วัยใด หรือจากภูมิหลังใดก็ตาม องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกคำเตือนว่า ความเหงากำลังเป็นภัยคุกคามด้านสุขภาพระดับโลก โดยมีผลกระทบทั้งต่อสุขภาพกายและสุขภาพใจ และเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การเสียชีวิตของผู้คนจำนวนมาก
รายงานล่าสุดของ WHO ระบุว่า ความเหงาสามารถ คร่าชีวิตผู้คนได้ประมาณ 100 คนต่อชั่วโมง หรือมากกว่า 871,000 คนต่อปีทั่วโลก และมีประชากรถึง 1 ใน 6 ที่กำลังเผชิญกับภาวะความรู้สึกโดดเดี่ยว
ทำความรู้จัก "ความเหงา"
ความเหงา (Loneliness) คือ ความรู้สึกหนึ่งของมนุษย์ที่เกิดขึ้นจากการรับรู้ว่าตนขาดการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม หรือมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมน้อยกว่าที่ตนต้องการ เป็นความรู้สึกที่เกิดจากการรับรู้และตีความสถานการณ์ในความสัมพันธ์ของตน คุณภาพของความสัมพันธ์สำคัญกว่าปริมาณ เช่น คนที่มีเพื่อนมากแต่อาจรู้สึกเหงาหากความสัมพันธ์ไม่มีคุณภาพตรงตามความคาดหวัง ในขณะที่คนที่มีเพื่อนน้อยแต่มีความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ สามารถแบ่งปันประสบการณ์และให้การสนับสนุนกันได้ อาจไม่รู้สึกเหงา ความโดดเดี่ยวหรือความเหงาแตกต่างจากการรักสันโดษ ซึ่งเป็นการชื่นชมชีวิตที่เป็นอิสระและความสุขกับการอยู่กับตัวเอง
ประเภทของความเหงา
ความเหงาสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ ได้แก่
- ความเหงาแบบชั่วคราว (Transient Loneliness) หรือความเหงาในชีวิตประจำวัน (Everyday Loneliness) เป็นความรู้สึกเหงาที่เกิดขึ้นชั่วคราวและพบได้บ่อยที่สุด มักไม่รุนแรงมากนัก
- ความเหงาจากสถานการณ์ (Situational Loneliness) มักเกิดขึ้นหลังเผชิญกับเหตุการณ์สำคัญในชีวิต เช่น การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก การหย่าร้าง การจบความสัมพันธ์ หรือการย้ายถิ่นฐาน
- ความเหงาแบบเรื้อรัง (Chronic Loneliness) เกิดขึ้นเมื่อรู้สึกไม่พึงพอใจในความสัมพันธ์กับผู้อื่นเป็นระยะเวลานานต่อเนื่อง และไม่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดีขึ้นได้ มักเกิดขึ้นกับผู้ที่มีปัญหาในการปรับตัว
สาเหตุของความเหงา
ความเหงาสามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ตามการเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ทางสังคม การเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของตนกับผู้อื่น รวมถึงประสบการณ์ในอดีตที่อาจทำให้เกิดความคาดหวังต่อความสัมพันธ์
ปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดความเหงาได้แก่
- ลักษณะบุคลิกภาพ เช่น ความขี้อาย หรือการขาดทักษะทางสังคม อาจทำให้มีแนวโน้มที่จะเหงาได้ง่ายกว่าคนที่มีความมั่นใจ
- ค่านิยมและบรรทัดฐานทางสังคมวัฒนธรรม เช่น วัฒนธรรมตะวันตกที่เน้นการพึ่งพาตนเอง อาจทำให้เกิดความเหงาได้มากกว่าวัฒนธรรมเอเชียที่เน้นการอยู่ร่วมกันและช่วยเหลือกันในครอบครัว
- สถานการณ์ทางสังคมหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เช่น ความเครียดจากการว่างงาน ความไม่พึงพอใจในสถานภาพสมรส การสูญเสียคนรัก หรือการย้ายที่อยู่
- ปัญหาสุขภาพ
- รายได้และการศึกษาต่ำ
- การอาศัยอยู่คนเดียว
- การขาดโครงสร้างพื้นฐานของชุมชนและนโยบายสาธารณะที่เพียงพอ
- ภาวะที่เกี่ยวพันกับเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น การใช้เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไป และปฏิสัมพันธ์ออนไลน์ที่เป็นอันตราย โดยเฉพาะในหมู่คนหนุ่มสาว ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพจิต ดร. เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกกล่าวว่า แม้ในโลกที่เชื่อมต่อกันด้วยระบบดิจิทัล ผู้คนจำนวนมากยังคงโดดเดี่ยวและเหงา
ผลกระทบของความเหงา
ความเหงามีผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต
ผลกระทบต่อสุขภาพกาย
เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน ภาวะความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดในสมอง โรคหัวใจและหลอดเลือด ร่างกายอ่อนแอ ติดเชื้อง่าย ส่งผลต่อคุณภาพการนอน ทำให้มีคุณภาพการนอนไม่ดี และรบกวนการนอนหลับ เพิ่มความเสี่ยงต่อการมีพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น การสูบบุหรี่ และการใช้สารเสพติด เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะสมองเสื่อม ปัญหาด้านความทรงจำ หรืออัลไซเมอร์
งานศึกษาของ Harvard และ UC San Francisco พบว่า ความเสี่ยงจากการเป็นโรคหัวใจเพิ่มขึ้นในปี 2012 ถึง 24% และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรมีต้นเหตุมาจากความโดดเดี่ยวและความเหงา
ผลกระทบต่อสุขภาพจิต
ส่งผลต่อภาวะซึมเศร้า และความวิตกกังวล ผู้ที่รู้สึกเหงาจะมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นโรคซึมเศร้าสูงเป็นสองเท่า ส่งผลให้มีความพึงพอใจในชีวิตต่ำ ทำให้เกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง และลดความมั่นใจ ซึ่งอาจนำไปสู่การแยกตัวออกจากสังคม อาจเผชิญกับความคิดอยากทำร้ายตัวเองหรือฆ่าตัวตายที่เพิ่มขึ้น
ผลกระทบต่อการเรียนรู้และการจ้างงาน วัยรุ่นที่รู้สึกเหงาจะมีแนวโน้มที่จะได้เกรดหรือวุฒิการศึกษาที่ต่ำกว่าถึง 22% ผู้ใหญ่ที่เหงาอาจพบว่าการหางานหรือรักษางานทำได้ยากขึ้น และอาจมีรายได้น้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป บ่อนทำลายความสามัคคีทางสังคม และทำให้เกิดค่าใช้จ่ายหลายพันล้านดอลลาร์ในการสูญเสียผลิตภาพและค่ารักษาพยาบาลในระดับชุมชน
ใครที่เปราะบางเป็นพิเศษต่อความเหงา?
แม้ความเหงาจะส่งผลกระทบต่อคนทุกเพศทุกวัย แต่กลุ่มเยาวชนและประชากรในประเทศที่มีรายได้น้อยถึงปานกลางกลับเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางเป็นพิเศษ มีข้อมูลระบุว่า 17-21% ของคนหนุ่มสาวอายุ 13-29 ปี รายงานว่ารู้สึกเหงา โดยอัตราสูงสุดอยู่ในหมู่วัยรุ่น นอกจากนี้ ประมาณ 24% ของผู้คนในประเทศรายได้ต่ำรายงานว่ารู้สึกเหงา ซึ่งเป็นสองเท่าของอัตราในประเทศรายได้สูง (ประมาณ 11%)
วิธีป้องกันและรับมือกับความเหงา
ผู้เชี่ยวชาญจากทั้งคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ Better Mind Thailand ได้ให้คำแนะนำในการรับมือกับความเหงา
- ทบทวนความรู้สึกที่เกิดขึ้น ทำความเข้าใจว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นคือความเหงา ความเศร้า หรือความโดดเดี่ยว เพื่อทำความเข้าใจที่มาที่ไปของความรู้สึก
- ทบทวนและพัฒนาความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง มองหาความสัมพันธ์ที่ตนเองต้องการหรือมีความสัมพันธ์ที่มีคุณค่า ปริมาณของความสัมพันธ์อาจไม่สำคัญเท่ากับคุณภาพ บอกเล่าความรู้สึกและเรื่องราวในชีวิตประจำวันกับความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจ การติดต่อกับครอบครัวและเพื่อนฝูง ไม่ว่าจะผ่านวิดีโอคอล หรือส่งข้อความ ก็สำคัญอย่างยิ่งในการเชื่อมโยงทางสังคม
- เปิดโอกาสให้ตนได้เรียนรู้ที่จะมีความสัมพันธ์ใหม่ๆ และไม่ปิดกั้นตัวเองในการสร้างความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
- หากิจกรรม งานอดิเรกทำเพิ่มเติม การกลับมาอยู่กับตัวเองและให้เวลากับตัวเอง บางครั้งสามารถลดความเหงาแบบชั่วคราวได้ การหาสมาคมหรือชมรมที่ทำให้สนุกสนานเพลิดเพลิน จะช่วยสร้างเพื่อนใหม่และเปลี่ยนจุดโฟกัสจากเรื่องตัวเอง
- เลี้ยงสัตว์เลี้ยง การมีสัตว์เลี้ยงจะทำให้เกิดความผูกพัน เกิดความสัมพันธ์ที่มีความหมาย และช่วยลดความเหงาลงได้
- ช่วยเหลือสังคม/เป็นอาสาสมัคร การเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้อื่นนอกจากจะมีสังคมใหม่ๆ มีเพื่อนมากขึ้นแล้ว กิจกรรมที่ทำยังสามารถสร้างประโยชน์ให้เกิดกับผู้อื่น ทำให้เรารู้สึกมีคุณค่าในการใช้ชีวิต
- ออกจากบ้านบ้าง อย่าเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน หาเวลาออกไปข้างนอก แม้ไม่มีรถส่วนตัวก็สามารถใช้บริการรถสาธารณะได้ โดยเฉพาะผู้สูงอายุควรได้รับการพาออกจากบ้านไปทำกิจกรรมนอกบ้านบ้าง การเข้าหาธรรมชาติ เช่น เดินหรือปั่นจักรยานในสวนสาธารณะ ก็เป็นวิธีง่ายๆ ในการเริ่มเข้าหาสังคม
- เขียนระบายลงกระดาษ การเขียนบันทึกส่วนตัวช่วยให้สร้างความแข็งแรงให้จิตใจ แก้ไขความเครียดและความกดดัน เป็นการจัดการกับความไม่สบายใจ
- ค้นหาภารกิจใหม่ อย่าหยุดการค้นหาโปรเจกต์ใหม่ๆ ทำอยู่เรื่อยๆ เพื่อให้รู้สึกดีกับตัวเองและใช้ความคิดสร้างสรรค์อยู่เสมอ
- ออกห่างจาก Social Media บ้าง: ผลวิจัยพบว่า การใช้โซเชียลมีเดียมักส่งผลต่ออารมณ์ด้านลบ โดยเฉพาะในผู้หญิง และส่งผลร้ายแรงต่อผู้มีภาวะซึมเศร้า เนื่องจากเกิดการเปรียบเทียบกับตัวเอง
- ฝึกอยู่กับความเงียบ: ฝึกตัวเองให้มีความสงบ มีสมาธิ มีความนิ่งในจิตใจ ห่างไกลจิตใจที่สับสนและวุ่นวาย.
- ฝึกมุมมองบวกและซาบซึ้งกับทุกสิ่งรอบตัว ใช้ชีวิตเสมือนว่าวันนี้เป็นวันสุดท้าย ให้ชื่นชมกับทุกสิ่งที่มี และลงมือทำในสิ่งที่อยากทำเพื่อเปลี่ยนให้สังคมดีขึ้น
- พูดคุยปรึกษากับนักจิตวิทยา หากมีความทุกข์ใจหรือไม่สบายใจ ควรไปพบนักจิตวิทยาเพื่อหาวิธีรับมือกับความเหงาเพิ่มเติม. หากที่ทำงานมีโปรแกรม EAP (Employee Assistance Program) ก็ควรใช้บริการ หรือปรึกษานักจิตวิทยาจากหน่วยงานภายนอก
ประโยชน์ของการเชื่อมโยงทางสังคม
ในทางกลับกัน การมีความสัมพันธ์ทางสังคมที่เข้มแข็งนั้นสัมพันธ์กับสุขภาพที่ดีขึ้นและอายุที่ยืนยาวขึ้น การเชื่อมโยงทางสังคมมีประโยชน์ในการป้องกันตลอดช่วงชีวิต เช่น ลดการอักเสบ ลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วยร้ายแรง ส่งเสริมสุขภาพจิต และยืดอายุขัย
ความเหงาเป็นภัยคุกคามที่ร้ายแรง แต่สามารถรับมือและป้องกันได้ด้วยการทำความเข้าใจตนเอง พัฒนาความสัมพันธ์ที่มีคุณภาพ เปิดรับสังคมใหม่ๆ และไม่ลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเมื่อจำเป็น รายงานของคณะกรรมาธิการการเชื่อมโยงทางสังคมของ WHO ได้วางแผนการดำเนินงานระดับโลกในหลายมิติ เพื่อปรับเปลี่ยนบรรทัดฐานทางสังคมและสร้างการเคลื่อนไหวเพื่อการเชื่อมโยงทางสังคม
อ้างอิง
กรุงเทพธุรกิจ / BetterMind /Chula /