โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

เบิกเอง ตรวจเอง โกงซ้ำ 11 ครั้ง เขย่าศรัทธาระบบราชการไทย

TNN ช่อง16

เผยแพร่ 6 ชั่วโมงที่ผ่านมา
คดีปลัดเทศบาลเบิกค่าเช่าบ้านเท็จ 11 ครั้ง ป.ป.ช. ชี้ใช้ตำแหน่งตรวจสอบตนเอง สะท้อนปัญหาจริยธรรมราชการลึกถึงโครงสร้างระบบ

เบิกเอง ตรวจเอง โกงซ้ำ 11 ครั้ง คดีค่าเช่าบ้านที่เขย่าศรัทธาระบบราชการ

ในสังคมที่การทุจริตอาจแฝงตัวอยู่ในรูปแบบเรียบง่ายจนแทบไม่สะดุดตา การเบิกค่าเช่าบ้านโดยมิชอบของข้าราชการอาจถูกมองว่าเป็นเพียง “เรื่องเล็ก” ในระบบราชการขนาดใหญ่ แต่สำหรับหน่วยงานอย่างสำนักงาน ป.ป.ช. การปล่อยให้เรื่องเล็กหลุดรอด นั่นหมายถึงจุดเริ่มต้นของการสั่นคลอนต่อหลักธรรมาภิบาลในภาครัฐ

คดีเบิกค่าเช่าบ้านเท็จของปลัดเทศบาลในจังหวัดกาฬสินธุ์ คือกรณีศึกษาหนึ่งที่สะท้อนความซับซ้อนของการใช้อำนาจหน้าที่อย่างบิดเบี้ยว โดยบุคคลเดียวกันสวมสองบทบาท ทั้งในฐานะผู้ขอเบิก และผู้ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารตนเอง การกระทำซึ่งนำไปสู่การเบิกงบประมาณแผ่นดินอย่างไม่ชอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า

บทความนี้ถอดรหัสเบื้องหลังคดีดังกล่าวผ่านสายตาของ “นายนันทวัฒน์ นักษัตรจอมพล” พนักงานไต่สวนระดับสูง สังกัดสำนักงาน ป.ป.ช. ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ทำหน้าที่สืบสวนข้อเท็จจริงอย่างเข้มข้น เพื่อพิสูจน์ว่าความผิดเล็กน้อยในสายตาบางคน อาจซุกซ่อนโครงสร้างการทุจริตที่ขยายตัวอย่างเงียบงันในระบบราชการไทย.

เริ่มต้นจากการตรวจสอบบัญชี สู่เงื่อนงำของการเบิกจ่ายอันไม่ชอบ

นายนันทวัฒน์ นักษัตรจอมพล พนักงานไต่สวนระดับสูง สำนักคดี สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยถึง รายละเอียดของคดีเบิกค่าเช่าบ้านอันเป็นเท็จ โดยชี้ว่าคดีนี้เริ่มต้นขึ้นจากการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ภูมิภาคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น เมื่อปี 2547 ซึ่งพบความผิดปกติในการเบิกจ่ายเงินค่าเช่าบ้านของข้าราชการในเทศบาลตำบลกมลาไสย และเทศบาลตำบลหนองแปน จังหวัดกาฬสินธุ์

การตรวจสอบฎีกาเบิกเงินจากทั้งสองเทศบาลพบว่ามีการเบิกค่าเช่าบ้านที่ปรากฏหลักฐานครบถ้วนตามระเบียบทางราชการ แต่เมื่อตรวจสอบลึกลงไปกลับพบข้อเท็จจริงว่าเอกสารหลายฉบับที่ใช้ในการเบิกจ่ายนั้นเป็นเท็จ ซึ่งนำไปสู่การสืบสวนโดยสำนักงาน ป.ป.ช.

เจ้าของบ้านเช่าตัวจริง คือ ภรรยาผู้เบิก

ประเด็นสำคัญที่ป.ป.ช. ตรวจสอบพบคือ ปลัดเทศบาลผู้ถูกกล่าวหาได้อ้างว่าเช่าบ้านเลขที่หนึ่งในจังหวัดขอนแก่นจากหญิงรายหนึ่งในราคา 2,000 บาทต่อเดือน แต่เมื่อไต่สวนข้อเท็จจริงกลับพบว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของภรรยาปลัดเทศบาลเอง ซึ่งซื้อพร้อมที่ดินผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์และจดจำนองไว้เรียบร้อย พฤติการณ์ทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการปลอมแปลงสถานะบ้านเช่าเพื่อเบิกงบประมาณแผ่นดิน

นอกจากนี้ ป.ป.ช. ยังตรวจสอบพบว่าปลัดเทศบาลได้แนบเอกสารสัญญาเช่าที่มีลายเซ็นปลอมของผู้ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นเจ้าของบ้าน รวมถึงใบเสร็จรับเงินที่ไม่เคยมีการออกจริง ขณะที่ผู้หญิงคนดังกล่าวก็ให้การยืนยันอย่างหนักแน่นว่าไม่เคยให้บ้านใครเช่า ไม่เคยรู้จักผู้เบิก และไม่เคยได้รับเงินจำนวนใดเลยจากการเช่าบ้านนั้น

ผู้เบิกคือผู้ตรวจสอบเอง ซ้อนบทบาทผิดจริยธรรม

ความซับซ้อนของคดีนี้อยู่ที่บทบาททับซ้อนของปลัดเทศบาล ซึ่งนอกจากจะเป็นผู้ยื่นขอเบิกค่าเช่าบ้าน ยังดำรงตำแหน่ง “ประธานกรรมการตรวจสอบการขอรับเงินค่าเช่าบ้าน” ตามคำสั่งเทศบาลอีกด้วย

คณะกรรมการชุดดังกล่าวประกอบด้วยปลัดเทศบาล, นายช่างโยธา และเจ้าหน้าที่ธุรการ รวม 3 คน ซึ่งมีหน้าที่ต้องลงพื้นที่ตรวจสอบบ้านเช่า ตรวจสอบกรรมสิทธิ์บ้าน ความเหมาะสมของราคาค่าเช่า และตรวจสอบว่าผู้ขอเบิกพักอาศัยอยู่จริงหรือไม่ แต่ปรากฏว่าไม่มีใครในคณะกรรมการลงตรวจพื้นที่จริง ทุกคนกลับลงนามรับรองว่าบ้านหลังนั้นเป็นของผู้ให้เช่าตามที่ระบุในเอกสาร ซึ่งกลายเป็นข้อมูลเท็จทั้งหมด

เจตนาทุจริตอย่างเป็นระบบ 11 ครั้งซ้อน

นายนันทวัฒน์ชี้ว่า ความผิดของจำเลยรายนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่มีการยื่นเบิกเงินต่อเนื่อง 11 ครั้ง ทุกครั้งจะมีการแนบเอกสารที่ปลอมแปลงข้อมูลกรรมสิทธิ์และปลอมลายมือชื่อของผู้ให้เช่า รวมทั้งมีการลงนามรับรองโดยตนเองในฐานะหัวหน้าส่วนราชการว่าการเบิกจ่ายถูกต้องตามระเบียบ

การกระทำเช่นนี้จึงเป็นความผิดซ้ำซ้อนทั้งในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบ และในฐานะหัวหน้าส่วนราชการผู้รับรองความถูกต้องของเอกสาร ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ช. มองว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาทุจริตชัดเจน

หลักฐานมัดแน่น ทั้งพยานบุคคลและเอกสารจากธนาคาร

ในทางพยานหลักฐาน ป.ป.ช. ได้สอบปากคำผู้หญิงที่ถูกอ้างชื่อเป็นเจ้าของบ้าน ซึ่งให้การยืนยันว่าสัญญาเช่าและลายเซ็นไม่ใช่ของตน พร้อมทั้งตรวจสอบกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ซึ่งออกหนังสือยืนยันว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของปลัดเทศบาลและภรรยาเอง

หลักฐานทั้งหมดจึงชี้ชัดว่าไม่มีการเช่าบ้านเกิดขึ้นจริง อีกทั้งยังมีความพยายามจัดทำเอกสารเท็จเพื่อเบิกงบประมาณของรัฐโดยมิชอบ

ผลเสียต่อระบบ และจริยธรรมราชการ

แม้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นในคดีนี้จะอยู่ที่ 22,000 บาท แต่สำหรับนายนันทวัฒน์ เงินทุกบาทคือเงินภาษีของประชาชน และการกระทำเช่นนี้ส่งผลร้ายต่อระบบราชการในภาพรวม เพราะเมื่อผู้บังคับบัญชาเป็นผู้กระทำความผิดเสียเอง การตรวจสอบจากผู้ใต้บังคับบัญชาจึงแทบไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริง

นอกจากนี้ ความกลัวอำนาจที่สามารถให้คุณให้โทษในสายบังคับบัญชา อาจทำให้เจ้าหน้าที่ระดับล่างไม่กล้าเปิดเผยความจริง ปล่อยให้การทุจริตดำเนินต่อไปโดยไม่มีใครหยุดยั้ง

บทลงโทษจากศาล และการอุทธรณ์ของ ป.ป.ช.

คดีนี้ถูกส่งฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 4 โดยจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาจำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 5,000 บาท และเมื่อพิจารณาประวัติว่าไม่เคยต้องโทษมาก่อนจึงลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 6 เดือน ปรับ 2,500 บาท และให้รอลงอาญา

อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช. ได้ยื่นอุทธรณ์เพิ่มเติมในส่วนของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นปลัดเทศบาล เพื่อให้ศาลพิจารณาเพิ่มโทษอีก 11 กระทงตามจำนวนครั้งที่มีการเบิกโดยมิชอบ ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นพ้องว่าเป็นความผิดแยกกระทง และวินิจฉัยตามคำอุทธรณ์ของ ป.ป.ช.

เปิดช่องทางแจ้งเบาะแส สร้างกลไกตรวจสอบในสังคม

ในตอนท้าย นายนันทวัฒน์กล่าวว่า หากเจ้าหน้าที่รัฐพบเห็นพฤติกรรมไม่ชอบธรรม แต่ไม่สามารถเปิดเผยตัวเองได้ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ก็สามารถแจ้งเบาะแสต่อสำนักงาน ป.ป.ช. ได้โดยตรงผ่านสายด่วน 1205 หรือส่งเอกสารโดยไม่ระบุตัวตน เพียงแจ้งพฤติการณ์และแนบพยานหลักฐานที่เพียงพอให้สามารถดำเนินการไต่สวนต่อได้

“แม้จะเป็นเงิน 2,000 บาท แต่ถ้ามาจากการโกง นั่นไม่ใช่แค่ความเสียหายเชิงงบประมาณ แต่มันทำให้คนดีๆ ในระบบรู้สึกสิ้นหวัง และระบบราชการก็ไร้หลักยึด”

คดีนี้ จึงไม่ใช่เพียงเป็นบทเรียนของการเบิกเงินโดยมิชอบเท่านั้น แต่เป็นสัญญาณเตือนถึงรากของปัญหาที่แทรกซึมอยู่ในระบบราชการไทย เมื่อการใช้อำนาจหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนตนสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่มีใครกล้าท้วงติง

ความเสียหายจึงไม่ได้หยุดอยู่แค่ตัวเลข แต่ลุกลามไปถึงศรัทธาของประชาชนที่มีต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ความเชื่อมั่นที่ถูกบั่นทอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า คือ ความสูญเสียที่ไม่อาจตีราคาได้ และการปล่อยให้การทุจริต “เล็กน้อย” กลายเป็นเรื่องปกติ ก็คือจุดเริ่มต้นของการล่มสลายทางจริยธรรมในระบบราชการโดยไม่รู้ตัว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก TNN ช่อง16

คนพูดไม่จำ คนฟังไม่ลืม รู้จัก Verbal Bullying รับมืออย่างไร

27 นาทีที่แล้ว

อัตราการฉีดวัคซีนเด็กทั่วโลกถดถอย เสี่ยงโรคระบาดกลับมาอีกครั้ง

40 นาทีที่แล้ว

รัฐบาลจีน "ยกเลิก" คำสั่งแบนอาหารทะเลญี่ปุ่น

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ออกกำลังกาย เคล็ดลับคืนสภาพเยื่อบุผนังหลอดเลือด

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

วิดีโอ

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ พรรคพลังสยาม สิ้นสภาพ ความเป็น พรรคการเมือง

BRIGHTTV.CO.TH

กลับมาอีกครั้ง ! กับ จริงใจ มาหา…นคร ครั้งที่ 12 มหกรรมของดีจากชุมชนทั่วไทย กว่า 1,000 รายการ

TODAY

“พชร อนันตศิลป์” ผอ.สบน. ชี้หนี้สาธารณะปี ’71 แตะ 70% “เป็นเรื่องที่ต้องคำนึง แต่ไม่น่าตกใจ”

ไทยพับลิก้า

“เจนี่”เตรียมปลงผมบรรพชาพรุ่งนี้ ฉายาทางธรรม “ธัมมกัลยาณี”

สยามรัฐ

จับ 6 ล้อขนยาบ้า 10 ล้านเม็ด ซุกลำโพง

สำนักข่าวไทย Online

ตร.พายเรือฝ่าน้ำเชี่ยว ไล่จับผู้ต้องสงสัยคดีอุกฉกรรจ์ เรือเกิดคว่ำ ร.ต.ท.จมน้ำหาย ยังไม่รู้ชะตา

Khaosod

นายกฯ ถก ‘พาณิชย์-คลัง’ รายงานแก้ปัญหาสินค้า-ผลไม้ตกค้างชายแดน

ไทยโพสต์

ปฏิทินวันสำคัญทางวิทยาศาสตร์ เดือนกรกฎาคม

Manager Online

ข่าวและบทความยอดนิยม

ป.ป.ช. ลุยแผน TaB เปลี่ยนเกมโกง “ไม่ให้-ไม่รับ” ต้านสินบนทั้งระบบ

TNN ช่อง16

ศูนย์ CDC ป.ป.ช. ขยับเกมต้านโกง ใช้โซเชียลเป็นเรดาร์ตรวจจับทุจริต

TNN ช่อง16

จากเบี้ยเลี้ยงไม่กี่พัน สู่รอยรั่วระบบราชการ

TNN ช่อง16
ดูเพิ่ม
Loading...