ปัญหาหนี้และแนวทางที่"ว่าด้วยการจัดการหนี้ด้อยคุณภาพ"
ในระหว่างที่เขียนบทความนี้ ผู้เขียนเองยังไม่ทราบถึงรายละเอียดทั้งหมดของแนวทางดังกล่าว จึงยังไม่ขอให้ความเห็นใดในขณะนี้ แต่อย่างไรก็ดี สัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารพัฒนาเอเชีย หรือ เอดีบี ได้เผยแพร่รายงานเรื่อง ‘Nonperforming Loans Watch in Asia 2025’ ซึ่งจัดทำขึ้นภายใต้ความร่วมมือของเอดีบี และเครือข่ายความร่วมมือบริษัทบริหารสินทรัพย์นานาชาติ (International Public Asset Management Companies Forum) โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการบริหารจัดการหนี้ด้อยคุณภาพ หรือ NPL (Non-Performing Loans) และ AMC ในภูมิภาคเอเชีย จึงขอนำเนื้อหาบางส่วนของรายงานมาเล่าสู่กันฟัง
ข้อมูลในรายงานระบุว่าปัญหาหนี้ด้อยคุณภาพในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่วนใหญ่แล้วอยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก อย่างไรก็ดี มีการชี้ให้เห็นว่าประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งรวมถึงไทย มีมาตรการบริหารจัดการระดับหนี้ด้อยคุณภาพในระบบสถาบันการเงินได้ดีในระยะสั้นเท่านั้น โดยไม่ได้ให้ความใส่ใจกับแรงกดดันด้านคุณภาพสินทรัพย์ของ SME สินเชื่อเพื่อการบริโภค (Consumer Finance) และภาคอสังหาริมทรัพย์เท่าที่ควร ซึ่งอาจส่งให้เกิดปัญหาในระยะต่อไป
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น มูลค่า NPL ของปี 2024 ในระบบสถาบันการเงินไทย สูงเป็นอันดับสองรองจากเวียดนาม มูลค่าดังกล่าวรวมถึงหนี้ครัวเรือนและหนี้ของนิติบุคคล แต่เนื่องจากความสนใจในภาพรวมของหนี้และหนี้ด้อยคุณภาพในประเทศไทย อยู่ที่หนี้ครัวเรือนเป็นหลัก จึงขอชวนดูข้อมูลจากฐานหนี้ครัวเรือนของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) พบว่า ณ สิ้นไตรมาส 2 ของปี 2025 นี้ NPL (หมายถึงหนี้ที่ค้างชำระเกิน 90 วัน) มีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 9% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด หรือเทียบเท่ามูลค่าประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท และอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยพบว่ากลุ่มสินเชื่อที่มี NPL เป็นสัดส่วนค่อนข้างสูงเรียงตามลำดับดังนี้คือ สินเชื่อเช่าซื้อหรือลีสซิ่ง มีหนี้ NPL ประมาณ 26% สินเชื่อประเภทนาโนไฟแนนซ์ มีหนี้ NPL ประมาณ 16.5% บัตรเครดิตมีหนี้ NPL ประมาณ12.7% และสินเชื่อรถยนต์ มีหนี้ NPL ประมาณ11.7% ในส่วนของหนี้นิติบุคคลนั้น พบว่ามี NPL อยู่ 3.8%
ข้อมูลจากการสำรวจในรายงานฯ อาจไม่สมบูรณ์นัก เนื่องจากเป็นการสำรวจกลุ่มตัวอย่างที่เล็กมาก แต่ก็มีประเด็นที่น่าสนใจอยู่ อาทิ การพบว่าส่วนใหญ่แล้วการขายหนี้ให้กับ AMC เป็นลักษณะของการขายตรงระหว่างสถาบันการเงินและ AMC ในขณะที่การทำธุรกรรมในรูปแบบการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ หรือ securitization มีค่อนข้างน้อยในภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้ NPL ที่มีการขายออกไปยัง AMC ส่วนใหญ่นั้น เป็นหนี้ที่มีหลักประกัน รายงานฯ ยังพบว่าปัญหาสำคัญในการบริหารจัดการหนี้ด้อยคุณภาพด้วยการขายไปยัง AMC อันดับแรก คือเรื่อง‘ราคา’ โดยพบว่ามีความไม่สอดคล้องระหว่างการประเมินราคาของสถาบันการเงินผู้ขาย กฎระเบียบด้านการตั้งสำรอง และการประเมินราคาความเสี่ยงของสถาบันผู้รับซื้อหนี้ อันดับที่สอง คือการใช้ข้อมูลที่อาจไม่ชัดเจนและเพียงพอสำหรับการประเมินความเสี่ยง โดยในประเด็นนี้รายงานฯ ได้กล่าวถึงการที่ผู้ซื้อ ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับประวัติการชำระหนี้และการปรับโครงสร้างหนี้ อันดับที่สาม คือข้อจำกัดด้านกฎหมายกฎระเบียบ โดยในประเด็นนี้ รายงานของเอดีบีที่ได้เคยจัดทำก่อนหน้านี้ พบว่าในหลายประเทศ สถาบันการเงินพยายามยืดเวลาการจัดการกับหนี้ด้อยคุณภาพ เนื่องจากกฎระเบียบด้านการตั้งสำรองและการคุ้มครองผู้บริโภคไม่เอื้ออำนวย ในขณะที่ทาง AMC ก็พยายามกดราคาเนื่องจากความไม่แน่นอนและความยุ่งยากด้านกฎระเบียบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับกฎหมายล้มละลาย กระบวนการทางศาล และการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เข้มแข็ง ข้อกำหนดด้านภาษีอากรก็เป็นอีกปัจจัยด้านกฎหมายที่รายงานฯ กล่าวถึง ภาระภาษีของการโอน NPL เมื่อใดจึงถือเป็นการขาย อีกทั้งยังมีประเด็นที่เกี่ยวกับการตัดหนี้สูญ การตั้งสำรองเป็นค่าใช้จ่าย ซึ่งในหลายกรณีส่งผลให้การจัดการกับ NPL มีความยืดเยื้อออกไป
เมื่อนำเอาข้อมูลด้าน NPL จากฐานข้อมูลของ NCB มาจัดเรียงแล้ว จะเห็นว่าแนวโน้ม NPL ของประเทศไทยในระยะอันใกล้นี้ ดูเหมือนจะอยู่ในระยะขาขึ้นทั้งในส่วนของหนี้ครัวเรือนและหนี้นิติบุคคล สอดคล้องกับการวิเคราะห์โดยใช้ AI model ในรายงานฯ ของเอดีบี ซี่งพบว่าประเทศไทยอยู่ในข่ายที่ NPL จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในระยะถัดไป (เวียดนามอยู่ในข่าย NPL ผันผวน อินโดนีเซียอยู่ในข่าย NPL เพิ่มขึ้นสูง) ผู้เขียนไม่ทราบว่ามาตรการการรับซื้อหนี้โดย AMC ที่เป็นข่าวกันอยู่นี้ จะประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อใด แต่หากจะให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงครอบคลุม ควรจะมีการศึกษาและพิจารณาประเด็นต่างๆ ตามที่รายงานฯ เอดีบี ได้นำเสนอ เพื่อสร้างระบบนิเวศน์ของการบริหารจัดการหนี้ด้อยคุณภาพของประเทศให้มีประสิทธิภาพ และให้กลไกของการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพสามารถช่วยให้ลูกหนี้ต่อลมหายใจได้ ฟื้นตัวได้ และกลับมาสู่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ต่อไป