DUSIT เดือด! “ชนินทธ์” แถลงเปิดใจ ปมมรดกสู่การถูกถอดถอน ลั่นกลุ่มทุนภายนอกจ่อยึดกิจการ
นายชนินทธ์ โทณวณิก รักษาการประธานกรรมการ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT ได้ออกแถลงการณ์ต่อสาธารณะ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความพยายามในการถอดถอนเขาออกจากตำแหน่งกรรมการในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยปัญหาดังกล่าวไม่ได้เริ่มต้นจากการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น แต่เป็นผลสืบเนื่องมาจากความขัดแย้งภายในครอบครัวหลังจากการจากไปของท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ผู้เป็นมารดาและผู้ก่อตั้ง
นายชนินทร์ กล่าวว่า “หลังจากที่ท่านผู้หญิงชนัตถ์เสียชีวิต น้องสาวทั้งสองได้ร่วมกันเปลี่ยนแปลงอำนาจกรรมการของบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของดุสิตธานี โดยได้ลดอำนาจในการลงนามของเขา และต่อมาก็ได้ปลดเขาออกจากการเป็นกรรมการในบริษัทกองมรดกทั้งหมด”
รวมถึงชี้แจงว่า เคยมีการทำข้อตกลงแบ่งมรดกกันระหว่างพี่น้อง 3 คน โดยแบ่งกองมรดกออกเป็น 3 ส่วน คือ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด (ถือหุ้นใหญ่ใน บมจ.ดุสิตธานี) บริษัท ปิยะศิริ จำกัด (ถือหุ้นใหญ่ในโรงพยาบาลสุขุมวิท) และ บริษัท ธนจิรัง จำกัด (เป็นบริษัทที่ดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์) โดยทุกฝ่ายตกลงให้ "ชนินทร์" ได้หุ้นทั้งหมดในบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ในขณะที่น้องแต่ละคนได้หุ้นในอีกสองบริษัทดังกล่าว พร้อมกับการชดเชยทรัพย์สินให้เป็นธรรม
อย่างไรก็ตาม ภายหลังน้องทั้งสองได้เปลี่ยนใจและไม่ยอมรับข้อตกลงดังกล่าว โดยนายชนินทร์คาดว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเพราะโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส มียอดขายที่ดีขึ้นหลังจากวิกฤตโควิด-19 คลี่คลายลง
กลุ่มทุนภายนอกพยายามครอบครองกิจการ
ความขัดแย้งภายในครอบครัวได้ลุกลามมาถึงบริษัท ดุสิตธานี โดย "ชริรทร์" เปิดเผยว่า มีการเสนอชื่อกรรมการใหม่ที่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับ “กลุ่มเซ็นทรัล” และเห็นว่าการกระทำนี้เป็นการเปิดทางให้คนนอกครอบครัวเข้ามาควบคุมกิจการที่ครอบครัวสร้างมา
นอกจากนี้ ยังเคยมีความพยายามผลักดันให้เขาแบ่งหุ้นบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ออกเป็นสามส่วนเพื่อขายให้คนนอก ซึ่งขัดต่อข้อบังคับของบริษัทที่ระบุว่าไม่ให้ขายหุ้นให้แก่คนนอกครอบครัว
โดยกลุ่มเซ็นทรัลเคยพยายามเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของดุสิตธานีหลายครั้ง รวมถึงการซื้อหุ้นถึง 22.5% โดยไม่แจ้งให้ทราบ ในขณะที่เป็นพันธมิตรทางธุรกิจในโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจก่อให้เกิดปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เนื่องจากธุรกิจโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ และอาหารของทั้งสองกลุ่มมีการแข่งขันกันโดยตรง
ผลประกอบการและอนาคตของ DUSIT
ทั้งนี้ข้อกล่าวหาที่ว่าบริษัทขาดทุนต่อเนื่องและมีหนี้สินสูงนั้น ไม่เป็นความจริงทั้งหมด พร้อมชี้แจงว่าการขาดทุนส่วนใหญ่เกิดจากภาระดอกเบี้ยของโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค มูลค่า 46,000 ล้านบาท และผลกระทบจากการลงทุนในช่วงก่อนและระหว่างวิกฤตโควิด-19
อีกทั้งยืนยันว่าดุสิตธานีกำลังจะกลับมาเติบโตอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง เนื่องจากโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส มียอดขายแล้วกว่า 92% ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ในปีหน้า ทำให้บริษัทมีกำไรอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนและสามารถปลดภาระหนี้ได้ อีกทั้งเน้นย้ำว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ไม่ใช่เพื่อรักษาตำแหน่ง แต่เป็นการปกป้องดุสิตธานีและอนาคตที่สดใสขององค์กรจากความพยายามในการเข้ายึดครองที่ไม่เป็นธรรม
“ผมยังคงอยู่กับดุสิตธานีต่อไปไม่ว่าในฐานะใดก็ตาม และจะใช้สิทธิทางกฎหมายที่มีเพื่อปกป้องบริษัท และเฝ้าระวังไม่ให้ผู้บริหารหรือกรรมการใหม่เข้ามาสร้างความเสียหาย" นายชนินทร์ กล่าวทิ้งท้าย