“Versace” แบรนด์หรูสัญชาติอิตาลี ทำไมใช้ “หัวเมดูซา” เป็นโลโก้?
แบรนด์แฟชั่นหรูส่วนใหญ่ในโลกมักมีภาพจำว่าต้องเป็นแบรนด์เก่าแก่ที่มีรากฐานยาวนานเป็นร้อยปี แต่นั่นไม่ใช่กับ “Versace” (เวอร์ซาเช) หนึ่งในแบรนด์แฟชั่นซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก แต่เพิ่งก่อตั้งขึ้นในปี 1978 หรือไม่ถึง 50 ปีเลยด้วยซ้ำ
แต่ Versace กลับกลายเป็นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมในเวลาไม่นาน เคียงข้างแบรนด์เก่าแก่อย่าง Chanel, Dior, Valentino และ Prada โดยมีเอกลักษณ์ที่เชื่อว่าหลายคนจดจำได้ไม่มีวันลืม นั่นคือโลโก้แบรนด์ที่เป็นศีรษะของ “เมดูซา” อสุรกายผู้เลอโฉม
แบรนด์นี้ถูกสร้างสรรค์โดย “จานนี เวอร์ซาเช” (Gianni Versace) ผู้เรียนจบสถาปนิก หลงใหลในตำนานกรีก แล้วนำมาผสมผสานกันจนกลายเป็นแฟชั่นที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน
ซึมซับความเป็นกรีก
จานนีเกิดเมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 1946 ที่แคว้น เรจโจ ดิ คาลาเบรีย (Reggio di Calabria) ทางตอนใต้ของอิตาลี ซึ่งยังคงมีอิทธิพลของกรีกโบราณปรากฏให้เห็นในประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม และวัฒนธรรม เนื่องจากชาวกรีกจำนวนมากได้เข้ามาตั้งรกรากและตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล
เขาเข้าเรียนที่ Liceo Classico Tommaso Campanella โดยเรียนภาษาละตินและภาษากรีกโบราณ นั่นคือภาษาคาลาเบรียน-กรีก ซึ่งเป็นกลุ่มภาษาถิ่นที่ใกล้สูญพันธุ์ โดยในปัจจุบันเหลือผู้พูดเพียงไม่กี่พันคนบนโลก
จานนีได้สัมผัสกับการออกแบบตัดเย็บเสื้อผ้าตั้งแต่ยังเด็ก เนื่องจากแม่ของเขาเปิดร้านตัดเย็บ ซึ่งมีช่างเย็บผ้ามากถึงสิบกว่าคน โดยเขาเป็นลูกมือช่วยงานในร้านตัดเสื้อของแม่
ร้านเสื้อผ้าที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามของแม่ได้จุดประกายความรักในแฟชั่นของเขา การเติบโตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ รายล้อมไปด้วยนิตยสารแฟชั่น ผ้า และลวดลาย รวมถึงบุคคลสำคัญผู้มีอิทธิพลและแข็งแกร่งอย่างคุณแม่ ได้หล่อหลอมให้จานนีหลงใหลและชื่นชมผู้หญิงที่เข้มแข็ง
ต่อมาเขาเริ่มสนใจสถาปัตยกรรม จึงไปเรียนต่อในด้านนั้น แต่หลังเรียนจบ เขาก็ตัดสินใจว่าทำงานด้านการออกแบบแฟชั่น จึงย้ายไปมิลานในปี 1972 ขณะอายุ 26 ปี
ครอบครัวสำคัญที่สุด
ในช่วงแรกของเส้นทางการเป็นดีไซเนอร์ จานนีได้ออกแบบคอลเลกชันให้กับ Florentine Flowers และในปีเดียวกันนั้น เขาได้ร่วมงานกับ De Parisini di Santa Margherita
จานนีทำงานให้กับแบรนด์ Genny, Complice และ Callaghan ของมิลาน โดยเขาได้กลายเป็นดีไซเนอร์ของ “Byblos” ซึ่งเป็นไลน์เสื้อผ้าวัยรุ่นที่ประสบความสำเร็จของแบรนด์ Genny
และเขาเป็นหนึ่งในดีไซเนอร์ชาวอิตาลีคนแรก ๆ ที่สร้างสรรค์คอลเลกชันเครื่องหนังทั้งหมด ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักในวงการแฟชั่นเมื่อเขาเปิดตัวผลงานชิ้นแรกสำหรับแบรนด์ Complice
ปี 1978 จานนีตั้งแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งก็คือ “Versace” โดยใช้นามสกุลมาตั้งเป็นแบรนด์ตรง ๆ เนื่องจากจานนีให้ความสำคัญกับครอบครัวมาก
จานนีเดินหน้าออกแบบคอลเล็กชันแรกของแบรนด์ จนสุดท้ายในวันที่ 28 มี.ค. 1978 เวอร์ซาเชได้นำเสนอคอลเลกชันสำหรับผู้หญิงชุดแรก ณ Palazzo della Permanente ในมิลาน และได้รับเสียงชื่นชมอย่างมาก
แฟชั่นโชว์ครั้งแรกของเวอร์ซาเชตามมาในเดือน ก.ย. ส่วนร้านบูติกแห่งแรกของแบรนด์เปิดที่ย่าน Via della Spiga ของมิลานในปีนั้นเอง
อย่างที่บอกว่าจานนีให้ความสำคัญกับครอบครัวมาก คอลเลกชันแรกของเวอร์ซาเชจึงมีแรงบันดาลใจมาจากน้องสาวของเขา “โดนาเทลลา”
ตั้งแต่วัยเด็ก พี่ชายและน้องสาวคู่นี้มีความผูกพันกันเป็นพิเศษ ดีไซน์ชุดแรกของจานนีจึงถูกร่างขึ้นโดยนึกถึงเธอ
จานนีได้รับการยกย่องว่าเป็นช่างตัดเสื้อที่มากความสามารถ วิธีสร้างสรรค์ผลงานของเขานั้นโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์อย่างแท้จริง เขามักร่างแบบลงบนหุ่นโดยตรง ซึ่งทำให้รูปทรงของชิ้นงานดูมีมิติมากขึ้น
เขาเพิ่มรายละเอียดมากมายที่มีความหมายส่วนตัวสำหรับตัวเขาเอง ยกตัวอย่างเช่น หนึ่งในผลงานออกแบบชุดแรก ๆ ของเขา Atelier Versace ซึ่งเป็นชุดเดรสสั้นสีดำประดับประดาอย่างงดงามด้วยเข็มกลัดแบรนด์จากคอลเลกชันฤดูใบไม้ร่วง-ฤดูหนาว 1989/90 ออกแบบมาเพื่อเป็นเกียรติแก่คุณแม่ของเขา
ดีไซเนอร์ผู้แหกกฎ
ความชื่นชมในผู้หญิงแกร่งของเขายังทำให้จานนีท้าทายข้อจำกัดทางเพศในวงการแฟชั่น ด้วยการทดลองเทคนิคแบบดั้งเดิมที่ใช้ในเสื้อผ้าบุรุษ เช่น น้ำหนักและเนื้อผ้า มาใช้กับเสื้อผ้าสตรี
ดังที่เห็นได้จากคอลเลกชันเสื้อผ้าสำเร็จรูปฤดูใบไม้ร่วง-ฤดูหนาว 1981/82 ของเขา ในงานชิ้นนี้ เขาเล่นกับสัดส่วนที่ตัดกัน ไหล่กว้างแบบผู้ชาย และรูปทรงที่ดูอ่อนหวานแบบผู้หญิง รูปทรงและผ้าที่พลิ้วไหวบนเสื้อผ้าของเขาชวนให้นึกถึงรูปปั้นเทพธิดาที่เขาเห็นท่ามกลางซากปรักหักพังโบราณของเมืองที่เขาเติบโตมา
จานนียังเป็นนักนวัตกรรม ในคอลเลกชันฤดูใบไม้ร่วง-ฤดูหนาว 1982/83 เขาได้เปิดตัววัสดุใหม่ที่จะกลายเป็นหัวใจสำคัญของเวอร์ซาเชนั่นคือตาข่ายโลหะที่มีความยืดหยุ่นพอที่จะสวมใส่ได้เหมือนชุดเดรส หรือ “โอโรทอน” (Oroton) ซึ่งเขาได้รับแรงบันดาลใจจากอัศวินแห่งยุคกลาง
จานนีหลงใหลในความหรูหราฟุ่มเฟือย เขาคิดว่าดีไซเนอร์ควรท้าทายกฎเกณฑ์และแหกกฎเกณฑ์ การสร้างความขัดแย้งจึงเป็นเรื่องธรรมชาติสำหรับเขา
หลังจากเปิดบูติกที่มิลานในปี 1978 เวอร์ซาเชกลายเป็นที่ฮือฮาในวงการแฟชั่นระดับนานาชาติอย่างรวดเร็ว ดีไซน์ของเขาใช้สีสันสดใส ลายพิมพ์ที่โดดเด่น และการตัดเย็บที่เซ็กซี่ ซึ่งตัดกับรสนิยมที่เน้นสีสันเรียบ ๆ และความเรียบง่าย
สุนทรียศาสตร์ของเขาที่ผสมผสานความคลาสสิกอันหรูหราเข้ากับความเซ็กซี่อย่างเปิดเผยดึงดูดทั้งเสียงวิพากษ์วิจารณ์และคำชมเชยมากมาย ถึงขั้นทำให้เกิดคำพูดที่ว่า “อาร์มานีแต่งตัวให้ภรรยา เวอร์ซาเชแต่งตัวให้เมียน้อย”
จานนีมักได้รับแรงบันดาลใจจากยุคประวัติศาสตร์ เช่น ลัทธิคลาสสิก ไบแซนไทน์ ศตวรรษที่ 18 และช่วงทศวรรษที่ 1920 และ 1930 การออกแบบของเขาได้นำองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น โมเสกของเมืองราเวนนาและผ้าม่านแบบโรมันมาปรับให้เข้ากับแฟชั่นร่วมสมัย
จานนี เวอร์ซาเช เคยกล่าวไว้ว่า “อย่ายึดติดกับเทรนด์ อย่าให้แฟชั่นครอบงำคุณ แต่คุณเป็นผู้กำหนดว่าคุณเป็นใคร คุณต้องการแสดงออกถึงอะไรด้วยวิธีที่คุณแต่งกายและวิถีชีวิตของคุณ”
อิทธิพลของ Versace
ในปี 1982 เวอร์ซาเชได้ขยายธุรกิจไปสู่เครื่องประดับและเครื่องใช้ในบ้าน โดยออกแบบเฟอร์นิเจอร์หรูหรา เครื่องลายคราม และสิ่งทอสำหรับใช้ในบ้าน
จานนีมีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ผลงาน Gianni Versace Edition ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นพิเศษให้กับไลน์ Mark VII ของลินคอล์น ผู้ผลิตรถยนต์หรูสัญชาติอเมริกัน
จานนียังได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ทำให้ซูเปอร์โมเดลหลายคนเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก โดยเฉพาะในปี 1991 เมื่อ จอร์จ ไมเคิล ได้ปล่อยซิงเกิลดัง “Freedom” ออกมา และได้เลือกซูเปอร์โมเดล 5 คนมาลิปซิงก์เพลงนี้ในมิวสิกวิดีโอ ได้แก่ ลินดา อีแวนเจลิสตา, ซินดี ครอว์ฟอร์ด, นาโอมิ แคมป์เบลล์, ทัตจานา ปาติซ และคริสตี เทอร์ลิงตัน
สำหรับการแสดงปิดท้ายสุดยิ่งใหญ่ จานนีได้เปิดเพลงนี้และส่งเหล่านางแบบ (ยกเว้นทัตจานา ปาติซ) ลงรันเวย์ ช่วงเวลานี้เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่น่าจดจำที่สุดในประวัติศาสตร์ของเวอร์ซาเชและงานแฟชั่นโชว์โดยรวม เพราะเป็นแรงผลักดันให้เหล่าซูเปอร์โมเดลเหล่านี้ก้าวขึ้นสู่สถานะไอคอน
ผลงานการออกแบบของจานนียังมีอิทธิพลอย่างมาก จนทำให้ เอลิซาเบธ เฮอร์ลีย์ นักแสดงและนางแบบชาวอังกฤษ กลายเป็นข่าวโด่งดังเมื่อปรากฏตัวบนพรมแดงในชุดเดรสของเวอร์ซาเช ในงานเปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง Four Weddings and a Funeral เมื่อปี 1994
ชุดเดรสสีดำที่เน้นสัดส่วนช่วงคอวีเว้าลึก เผยให้เห็นเรือนร่างของเธอ ด้านข้างเปิดโล่งที่ยึดติดกันด้วยเข็มกลัดทองคำขนาดใหญ่หลายอัน ทั้งนักแสดงและชุดเดรสนี้ต่างก็กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งวงการแฟชั่นในคืนนั้น และแบรนด์แฟชั่นแห่งนี้ก็กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งวงการฮอลลีวูด
จานนียังเป็นผู้ออกแบบเสื้อผ้าให้กับ ไมเคิล แจ็กสัน และ พอล แม็กคาร์ตนีย์ ในวิดีโอ “Say Say Say” และออกแบบชุดของ เอลตัน จอห์น สำหรับคอนเสิร์ต The One Tour
ทำไมต้องเมดูซา?
จานนีเลือกใช้ศีรษะของเมดูซามาเป็นโลโก้ของแบรนด์ในปี 1992 ซึ่งแตกต่างอย่างมากจากแบรนด์แฟชั่นอื่น ๆ ที่มักใช้ชื่อแบรนด์มาทำเป็นโลโก้ง่าย ๆ แต่เรียบหรู
เมดูซาเป็นอสุรกายในตำนานกรีก เป็นหญิงสาวที่มีรูปโฉมงดงาม แต่ถูกเทพโพไซดอนขืนใจในวิหารอาธีนา จึงถูกเทพีแห่งสถิติปัญญาสาปให้มีเส้นผมเป็นงู และใครที่สบตากับเธอจะต้องกลายเป็นหิน
มีข้อมูลว่า จานนีเลือกโลโก้รูปหัวเมดูซาเนื่องจากเคยเห็นมันอยู่ในซากปรักหักพังโบราณที่เขาและพี่น้องเคยเล่นสมัยเด็ก จานนีหยิบภาพนี้มาจากความทรงจำในวัยเด็กของเขา โดยมองว่า เช่นเดียวกับตำนานเทพปกรณัม เขาไม่สามารถละสายตาจากเมดูซาได้
นอกจากนี้ การที่ผมของเมดูซาเป็นงูมีความเชื่อมโยงกับนิทานตะวันตก งูมักเป็นตัวแทนของกลอุบายและความชั่วร้าย สัตว์ที่ล่อลวงให้อดัมกัดแอปเปิลก็คืองู
โลโก้ของเวอร์ซาเชที่เป็นเมดูซาจึงสื่อถึงความงามที่ละสายตาไม่ได้และการล่อลวงนั่นเอง
โศกนาฏกรรมการเสียชีวิตของจานนี
ในปี 1997 จานนีถูกฆาตกรรมบริเวณหน้าคฤหาสน์ของเขาที่ไมอามีบีช โดยฝีมือของ แอนดรูว์ คูนานัน ฆาตกรต่อเนื่องวัย 27 ปี
การเสียชีวิตอันโด่งดังนี้ถูกนำมาทำเป็นสารคดีอาชญากรรม ภาพยนตร์ และรายการโทรทัศน์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เช้าวันที่ 15 ก.ค. 1997 จานนีในวัย 50 ปี ตื่นนอนตอน 6 โมงเช้า โทรศัพท์ไปมิลาน ทำงานต่ออีกหน่อย จากนั้นออกจากคฤหาสน์ไปซื้อกาแฟที่ร้านประจำ ก่อนจะเดินกลับไปที่วิลล่าหรูของเขา
แต่ขณะกำลังสอดกุญแจเข้าไปในรูกุญแจที่ประตูเหล็ก ชายผมสีเข้มสวมกางเกงขาสั้นคลุมเข่า เสื้อกล้ามสีเทา หมวกเบสบอล และกระเป๋าเป้ก็พุ่งมาหาเขา
แอนดรูว์ คูนานัน ยิงจานนี 2 นัด จากนั้นก็หันหลังกลับและเดินจากไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คูนานันเดิมเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม 4 คดีใน 3 รัฐ และได้หลบซ่อนตัวอยู่ในไมอามีมานาน 2 เดือนก่อนเกิดเหตุ
ไม่นานตำรวจก็ระบุตัวเขาว่าเป็นฆาตกรที่ฆ่าจานนี และการตามล่าหาฆาตกรต่อเนื่องรายนี้อย่างบ้าคลั่งได้กลายเป็นประเด็นร้อนในสหรัฐฯ ในช่วงเวลานั้น
เหตุผลที่คูนานันสังหารจานนียังคงเป็นปริศนา คูนานันไม่ได้บอกใครถึงเหตุผล และไม่ได้จดบันทึกไว้เลย
วันที่ 23 ก.ค. 1997 ไม่ถึง 2 สัปดาห์หลังจากที่จานนีถูกฆ่า ศพของคูนานันถูกพบในบ้านพักนอกชายฝั่งไมอามีบีช เขายิงตัวเองที่ศีรษะด้วยปืนกระบอกเดียวกับที่ใช้สังหารจานนีและเหยื่อ 3 คนก่อนหน้านี้
การฆ่าตัวตายของคูนาแนนทำให้การไล่ล่าตัวทั่วประเทศยุติลง
หลังจากนั้น โดนาเทลลา เวอร์ซาเช น้องสาวของจานนี ได้สืบทอดตำแหน่งต่อจากเขา และเปิดศักราชใหม่ในประวัติศาสตร์ของเวอร์ซาเช
โดนาเทลลาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของอาณาจักรเวอร์ซาเชมาตั้งแต่ปี 1997 โดยดูแลการเติบโตของไลน์เสื้อผ้าหรูของกลุ่มบริษัท ควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจไปสู่เครื่องประดับ ของตกแต่งบ้าน และโรงแรม
การเข้ามาดูแลเวอร์ซาเชของโดนาเทลลาไม่ใช่เรื่องฝืนธรรมชาติอะไร เพราะที่ผ่านมา จานนีมักจะถามความคิดเห็นของเธอเสมอเมื่อสร้างสรรค์ผลงานของตน และการยอมรับจากเธอเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับเขา
โดนาเทลลานำพาธุรกิจครอบครัวที่กำลังรุ่งเรืองอยู่แล้วให้ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด ในปี 2018 บริษัทถูกซื้อกิจการโดย ไมเคิล คอร์ส โฮลดิงส์ ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น คาปรี โฮลดิงส์ (Capri) ด้วยมูลค่า 2.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดนาเทลลายังคงสร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอกให้กับแบรนด์อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการร่วมงานกับเหล่าคนดัง ศิลปินอย่าง ดูอา ลิปา และมาลูมา ต่างสนิทสนมกับแบรนด์นี้มาก และได้มีส่วนในแคมเปญระดับโลกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดหลายรายการ
ในเดือน มี.ค. 2025 เวอร์ซาเชได้ประกาศแต่งตั้ง ดาริโอ วิทาเล จากแบรนด์มิวมิว (Miu Miu) ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์แทน ส่วน โดนาเทลลา เวอร์ซาเช จะขึ้นดำรงตำแหน่งประธานแบรนด์แอมบาสเดอร์ และจะมุ่งเน้นไปที่งานด้านการกุศล
รายได้ของเวอร์ซาเช ณ ปีงบประมาณ 2025 ซึ่งสิ้นสุดเมื่อสิ้นเดือน มี.ค. 2025 อยู่ที่ 821 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.65 หมื่นล้านบาท) คิดเป็น 18% ของรายได้ทั้งหมดของคาปรี โดยพบว่าลดลงจากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 1.03 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.33 หมื่นล้านบาท) ลดลงไปเกือบ 20%
ประวัติศาสตร์ของเวอร์ซาเชเต็มไปด้วยเหตุการณ์มากมาย ตั้งแต่จุดเริ่มต้นในบ้านเกิดเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของอิตาลี ไปจนถึงการสร้างชื่อในมิลาน และแม้เหตุการณ์โศกนาฏกรรมในไมอามีจะทำให้จานนีเสียชีวิต แต่มรดกของเขายังคงอยู่ และยืนหยัดเป็นหนึ่งในแบรนด์หรูระดับโลกจนถึงทุกวันนี้
เรียบเรียงจาก (1) (2) (3) (4) (5) (6) (7) (8)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“Lanvin” แบรนด์หรูฝรั่งเศส กับความสำเร็จที่อบอวลด้วยความรักของแม่
“YG Entertainment” เสาหลักวงการ K-Pop ผู้สร้างซุป’ตาร์ระดับโลก
จากร้านตัดผมไปถึงลาสเวกัส “UNO” เกมการ์ดอันดับ 1 ในสหรัฐฯ
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : “Versace” แบรนด์หรูสัญชาติอิตาลี ทำไมใช้ “หัวเมดูซา” เป็นโลโก้?
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.pptvhd36.com