“ไทย” และอาเซียน จ่อเพิ่มนำเข้าสินค้าเกษตรสหรัฐ รับดีลการค้าใหม่ กระทบซัพพลายเออร์คู่แข่ง
"ไทย" จ่อซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สหรัฐกว่า 1 ล้านตัน และเตรียมนำเข้าถั่วเหลืองสูงสุด 2 ล้านตัน ภายใต้ข้อตกลงการค้าล่าสุด นักวิเคราะห์ชี้ดีลนี้หนุนการส่งออกสหรัฐขยายตัวในเอเชีย ขณะที่ออสเตรเลียและรัสเซียอาจเสียส่วนแบ่งตลาด
วันที่ 28 สิงหาคม 2568 เวลา 10.53 น. สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังปรับเปลี่ยนทิศทางการค้าธัญพืชและพืชน้ำมันโลก ผ่านข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ที่รวมถึงการเพิ่มการนำเข้าสินค้าเกษตร ซึ่งจะทำให้การส่งออกจากอเมริกาเข้ามาแทนที่การส่งออกจากออสเตรเลีย แคนาดา และรัสเซีย
อินโดนีเซียและบังกลาเทศได้ตกลงเพิ่มการซื้อตามกรอบข้อตกลงที่กำหนดอัตราภาษีส่งออกไปสหรัฐต่ำลงแล้ว ขณะที่ผู้ค้าธัญพืชในภูมิภาคคาดว่าเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และไทยอาจเพิ่มการนำเข้าธัญพืชอาหารสัตว์ตามข้อตกลงเช่นกัน
โอเล เฮาอี ผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาของ IKON Commodities ในซิดนีย์ กล่าวว่า “การส่งออกสินค้าเกษตรของสหรัฐมีแนวโน้มจะขยายตัวในเอเชียอย่างชัดเจน …ด้านหนึ่งคือแรงกดดันจากข้อตกลงทางการค้า แต่อีกด้านหนึ่งคือราคาข้าวสาลี ข้าวโพด และกากถั่วเหลืองของสหรัฐที่ถูกกว่าคู่แข่ง”
เอเชีย ซึ่งเป็นผู้นำเข้าสุทธิมีความสำคัญต่อซัพพลายเออร์ทั่วโลก เนื่องจากการบริโภคเพิ่มขึ้นตามจำนวนประชากรและรายได้ โดยเอเชียมีสัดส่วนถึง 30% ของการนำเข้าข้าวสาลี ข้าวโพด และกากถั่วเหลืองทั่วโลก ตามข้อมูลของกระทรวงเกษตรสหรัฐ การไหลเข้าของธัญพืชสหรัฐอาจกดดันราคาคู่แข่งและเพิ่มต้นทุนขนส่งของพวกเขาที่ต้องส่งออกไปยังตลาดที่ไกลกว่า
ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา ผู้ส่งออกจากทะเลดำและอเมริกาใต้รุกตลาดเอเชียมากขึ้น กินส่วนแบ่งตลาดของสหรัฐ ตัวอย่างเช่น ส่วนแบ่งการส่งออกข้าวสาลีของสหรัฐไปอินโดนีเซียหายไปเกือบครึ่งใน 5 ปีที่ผ่านมา ถูกแทนที่ด้วยยูเครน รัสเซีย และอาร์เจนตินา อย่างไรก็ตาม โรงโม่อินโดนีเซียเพิ่งซื้อข้าวสาลีสหรัฐราว 250,000 ตันตั้งแต่เดือนกรกฎาคม หลังสมาคมผู้ผลิตแป้งสาลีอินโดนีเซียลงนาม MOU จะซื้อ 1 ล้านตันต่อปี เพื่อแลกกับสิทธิ์ลดภาษี ในปี 2567 สหรัฐส่งออกไปอินโดนีเซีย 693,000 ตัน
ออสเตรเลียซึ่งครองตลาดอินโดนีเซียราว 1 ใน 4 อาจเสียยอดขายหลายแสนตัน โดยปี 2567 ส่งออกไป 3 ล้านตัน
เวียดนาม
บังกลาเทศได้อนุมัติการนำเข้าข้าวสาลีสหรัฐฯ 220,000 ตัน และให้คำมั่นจะซื้อ 700,000 ตันต่อปี จากที่แทบไม่มีในปี 2567 ขณะที่เวียดนามซึ่งเป็นตลาดอาหารสัตว์ที่เติบโตเร็ว มีแนวโน้มจะนำเข้าข้าวสาลี ข้าวโพด และกากถั่วเหลืองของสหรัฐ โดยกระทรวงเกษตรเวียดนามระบุว่าบริษัทต่าง ๆ จะลงนาม MOU ซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐ มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ รวมถึงข้าวโพด ข้าวสาลี DDGS และกากถั่วเหลืองจากรัฐไอโอวามูลค่า 800 ล้านดอลลาร์ แม้ยังไม่ชัดเจนว่าลงนามจริงแล้วหรือไม่
ปัจจุบันอาร์เจนตินาครองตลาดเวียดนาม โดยส่งออกข้าวโพดกว่า 50% และกากถั่วเหลือง 65% ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา แต่เวียดนามได้เพิ่มการซื้อข้าวโพดสหรัฐฯ ปี 2567/68 ถึง 1.1 ล้านตัน และจองแล้ว 134,000 ตันสำหรับปี 2568/69 เทียบกับเพียง 2,000 ตันในช่วงเดียวกันปีก่อน
ไทยและฟิลิปปินส์
ไทยและฟิลิปปินส์ก็อาจกลายเป็นผู้นำเข้าข้าวโพดสหรัฐรายสำคัญ หนึ่งในผู้ค้าคาดว่าไทยอาจซื้อข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สหรัฐกว่า 1 ล้านตัน เพื่อแทนที่การซื้อข้าวสาลีอาหารสัตว์จากทะเลดำและข้าวโพดจากเอเชีย ส่วนฟิลิปปินส์อาจมีการนำเข้ามากกว่าเพื่อแทนที่ความต้องการข้าวสาลีอาหารสัตว์ 3.3 ล้านตัน แต่จะขึ้นกับการลดภาษีนำเข้าข้าวโพด
เมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและการค้าของประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ยืนยันว่าภาษีนำเข้าข้าวโพด ข้าว ข้าวสาลี น้ำตาล ปลา เนื้อหมู และไก่จากสหรัฐยังไม่ได้ถูกยกเลิก ขณะที่รัฐมนตรีคลังไทยประกาศหลังทำข้อตกลงการค้ากับสหรัฐว่าประเทศจะนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ สูงสุด 2 ล้านตัน แม้ยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติม
ทิโมธี โลห์ ผู้อำนวยการภูมิภาค สภาส่งออกถั่วเหลืองสหรัฐ ประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโอเชียเนีย กล่าวว่า “มีการเจรจาการค้าที่สร้างโอกาสให้สหรัฐขยายการเข้าถึงตลาดในภูมิภาคของเรา”
ทั้งนี้สินค้าสหรัฐบางรายการมีความสามารถแข่งขันด้านราคา ข้าวสาลีสหรัฐชนิด soft white อยู่ที่ราว 280 ดอลลาร์ต่อตัน C&F ใกล้เคียงข้าวสาลีทะเลดำ ข้าวโพดสหรัฐถูกกว่าสินค้าอเมริกาใต้ราว 10–15 ดอลลาร์ต่อตัน และกากถั่วเหลืองสหรัฐก็ถูกกว่าคู่แข่งราว 5 ดอลลาร์ต่อตัน ตามข้อมูลผู้ค้าธัญพืชในสิงคโปร์
อ้างอิง : reuters.com