ชู “หุ้นสุขภาพยุคใหม่” พื้นฐานแกร่ง-ราคาไม่แพง... จังหวะลงทุนระยะยาว เติบโตไปกับธีม “สังคมผู้สูงอายุ” !!!
ลายแทงกองทุน: สำหรับ “หุ้นสุขภาพยุคใหม่” เป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่าง “สุขภาพ” และ “เทคโนโลยี” เข้าด้วยกัน เป็นธีมการลงทุนแห่งอนาคต ที่พร้อมจะเติบโตไปกับ “สังคมผู้สูงอายุ” ของโลกในระยะยาว
แต่ที่ผ่านมา ด้วยบุคลิกที่มีส่วนผสมของความเป็น “เทคฯ” อยู่ ก็ได้รับผลกระทบจาก “ดอกเบี้ยขาขึ้น” ไปเช่นกัน และยังมาเจอ “ภาษี Trump” เขย่าโลกช่วงต้นปีที่ผ่านมา
ทำให้ภาพรวม “กองหุ้นสุขภาพ” ในปีนี้ยังไม่ดีเท่าที่ควรผลตอบแทนเฉลี่ยยังคงติดลบอยู่ -3.96% โดยกองทุนส่วนใหญ่ 84% ยังคงมีผลตอบแทน “ติดลบ” มีเพียง 16% เท่านั้น ที่มีผลตอบแทนเป็น “บวก” ได้
แต่ก็พบสัญญาณฟื้นตัวที่ดีขึ้นตามลำดับ และ “หุ้นสุขภาพโลก” หลายตัวก็ปรับตัวลงแรงในช่วงที่ผ่านมา หากเทียบกับพื้นฐานที่แข็งแกร่งในระยะยาว ก็ถือเป็นอีกธีมที่น่าสนใจ ระดับราคา “ไม่แพง”
วันนี้ ทีมงาน ‘Wealthy Thai’ ได้คัดเอา 4 “กองทุนเด่น” ในธีม “หุ้นสุขภาพยุคใหม่” ที่น่าสนใจมาฝากกัน
เปิด 4 "กองทุนเด่น" ธีม "หุ้นสุขภาพยุคใหม่"…โอกาสเติบโตตาม "สังคมผู้สูงอายุ" ทั่วโลก
สำหรับ 4 “กองทุนเด่น”ที่คัดมาในครั้งนี้ เป็น Feeder Fund 2 กอง และ Fund of Funds 2 กอง ที่มีจุดเด่นที่ต่างกันออกไป โดยลงทุนใน “หุ้นสุขภาพยุคใหม่” ที่แตกต่างกันออกไป ประกอบด้วย
- “ONE-MEDTECH: กองทุนเปิด วรรณ เมดิคอล เทคโนโลยี” ของบลจ.วรรณ เป็นกองทุนในกลุ่ม “Health Care” ความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง) ที่เน้นลงทุน “หุ้นสุขภาพ” เพื่อสร้างผลตอบแทนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้ใกล้เคียงกับดัชนี “Dow Jones U.S. Select Medical Equipment Index”
ซึ่งเป็นตัววัดผลการดำเนินงานของกลุ่มอุตสาหกรรมภาคอุปกรณ์ทางการแพทย์ (Medical Equipment Sector) ใน “ตลาดหุ้นสหรัฐ” ประกอบไปด้วยหุ้นของบริษัทเครื่องมือทางการแพทย์ซึ่งรวมถึงผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น เครื่องถ่ายภาพด้วยคลื่นสนามแม่เหล็ก (MRI), สแกนเนอร์, ขาเทียม เครื่องกระตุ้นหัวใจ, เครื่องXray รวมถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ไม่ใช่อุปกรณ์ใช้แล้วทิ้งอื่นๆ
ผ่านกองทุนหลัก ‘iShares U.S. Medical Devices ETF’ ที่บริหารจัดการโดย BlackRock Fund Advisors
สำหรับหน้าตาพอร์ตของกองทุนหลัก (ณ 30 มิ.ย. 25) มีการลงทุนในกลุ่ม “Health Care Equipment” 99.85% ที่จดทะเบียนใน “ตลาดหุ้นสหรัฐ”
“โดย 5 หุ้นที่ลงทุนมากสุด ได้แก่ 1) ABBOTT LABORATORIES 18.82%,2) INTUITIVE SURGICAL INC 15.49%,3) BOSTON SCIENTIFIC CORP 11.22%,4) STRYKER CORP 4.57% และ5) EDWARDS LIFESCIENCES CORP 4.56% ตามลำดับ”
- ถัดมาเป็น “BCAP-XHEALTH: กองทุนเปิดบีแคป เน็กซ์ เจน เฮลธ์” ของบลจ.บางกอกแคปปิตอล เป็นกองทุนในกลุ่ม “Global Equity” ความเสี่ยงระดับ 6 (เสี่ยงสูง) ที่เน้นลงทุน “หุ้นทั่วโลก” ของบริษัทที่ได้ประโยชน์จากการประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพรูปแบบใหม่ เช่น Gene Therapy, Telemedicine, Healthcare IT Infrastructure เป็นต้น ทั้งนี้ กองทุนจะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมข้างต้น ตั้งแต่ 2 กองทุนขึ้นไปเพื่อให้มี Net Exposure โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV
สำหรับ 5 กองทุนที่ลงทุนมากสุด (ณ 31 ก.ค. 25) ประกอบด้วย
1) UBS LUX DIG HEALTH EQ-EB USD 29.64%
2) ISHARES U.S. MEDICAL DEVICES 19.03%
3) VANECK BIOTECH ETF 11.15%
4) ARK GENOMIC REVOLUTION ETF 10.32%
5) VANECK PHARMACEUTICAL ETF 9.26%
- มาต่อกันด้วย “KT-HEALTHCARE-A: กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เฮลธ์แคร์ ฟันด์ ชนิดสะสมมูลค่า” ของบลจ.กรุงไทย เป็นกองทุนในกลุ่ม “Health Care” ความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง) ที่เน้นลงทุน “หุ้นสุขภาพ” ของบริษัทต่างๆ ทั่วโลก ที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์การดำเนินชีวิต โดยทั่วไป “Life Sciences” จะเกี่ยวข้องกับการรักษาหรือพัฒนาคุณภาพชีวิต ผ่านกองทุนหลัก ‘Janus Global Life Sciences Fund’ ที่บริหารจัดการโดย Janus Henderson Capital Fund PLC
สำหรับหน้าตาพอร์ตของกองทุนหลัก (ณ 30 มิ.ย. 25) มีการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรม “Healthcare” 100%ทั้งนี้ 5 ประเทศที่ลงทุนมากสุด ประกอบด้วย 1) สหรัฐ 78.19%, 2) สหราชอาณาจักร 6.40%, 3) สวิตเซอร์แลนด์ 4.33%, 4) จีน 3.16% และ 5) ฝรั่งเศส 3.07%
“โดย 5 หุ้นที่ลงทุนมากสุด ได้แก่ 1) Eli Lilly & Co 8.85%,2) United Health Group Inc 4.50%,3) Astra Zeneca PLC 4.13%,4) Boston Scientific Corp 3.44% และ5) Abbott Laboratories 3.41%ตามลำดับ”
- ปิดท้ายกันด้วย “ASP-IHEALTH: กองทุนเปิด แอสเซทพลัส อินโนเวทีฟ เฮลธ์แคร์” ของบลจ.แอสเซท พลัส เป็นกองทุนในกลุ่ม “Health Care” ความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง) ที่เน้นลงทุน “หุ้นสุขภาพ” ที่เกี่ยวข้องกับตราสารทุนหรือสิทธิในตราสารทุนอื่นๆ ที่ออกโดยบริษัทด้านดิจิทัล เฮลธ์ (Digital Health) และ/หรือบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้านเทคโนโลยีชีวภาพและเภสัชกรรมโดยตรง (รวมถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ) และ/หรือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพ ทั้งนี้ กองทุนจะลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมที่มีนโยบายข้างต้น ตั้งแต่ 2 กองทุนขึ้นไป
สำหรับ 2 กองทุนที่ลงทุนมากสุด (ณ 30 มิ.ย. 25) ประกอบด้วย
1) JAN HND HRZN BIOTECH-IU2 USD 66.33%
2) Health Care Select Sector SPDR Fund 16.98%
“หุ้นสุขภาพยุคใหม่” ส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของ “หุ้นเทคโนโลยี” อยู่ด้วยในตัว ในช่วงที่ผ่านมา ช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นก็ส่งผลกระทบต่อผลงานของหุ้นกลุ่มนี้อยู่พอสมควร แต่นี่ยังคงเป็นอีกหนึ่ง “Megatrend” ของโลกการลงทุนที่พร้อมจะเติบโตไปกับ “สังคมผู้สูงอายุ” ของโลก และมีโอกาสสร้างการเติบโตที่ดีกว่า “หุ้นสุขภาพแบบดั้งเดิม” อีกด้วย ในช่วงวงจร “ดอกเบี้ยขาลง” น่าจะทำให้หุ้นกลุ่มนี้กลับมาได้อีกครั้ง จึงเป็นอีกธีมการลงทุนที่น่าสนใจและปัจจุบันก็ราคา “ไม่แพง” ด้วยเช่นกัน
ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุน มิได้เป็นสิ่งยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน