ปธ.เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี-เอดส์ ย้ำปัจจุบันไม่มีคำว่า“ระยะสุดท้าย”
(19ส.ค.68) เวลา 14.00 น. ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จัดงานแถลงข่าวเรื่อง “เอดส์ประเทศไทย: Fact, Fake and Future” โดย ผศ. (พิเศษ) พญ.จุรีรัตน์ บวรวัฒนุวงศ์ นายกสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย
พญ.จุรีรัตน์ ระบุว่า ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายแรกในปี 2527 ก่อนที่จะเกิดการระบาดรุนแรงและมีผู้เสียชีวิตสูงสุดในปี 2544 มากกว่า 65,000 คนต่อปี หรือเฉลี่ยทุก 8 นาทีมีผู้ป่วยเสียชีวิต 1 คน ขณะนี้ผู้ติดเชื้อที่ยังมีชีวิตอยู่ประมาณ 550,000 คน โดยผู้ติดเชื้อกว่า 450,000 คนหรือราว 81% กำลังรับประทานยาต้านไวรัส
ตั้งแต่ปี 2548 โครงการยาต้านไวรัสแห่งชาติ (National AIDS Program, NAP) เปิดให้บริการรักษาเอชไอวีฟรีในทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศ ปัจจุบันยาต้านไวรัสสามารถรับประทานเพียงวันละ 1 เม็ด และสามารถกดไวรัสจนตรวจไม่พบ (Undetectable) ภายใน 3 เดือน ผู้ติดเชื้อที่รับยาตามโครงการกว่า 95% มีสุขภาพใกล้เคียงคนปกติ สามารถมีครอบครัวและบุตรได้ และไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่น
พญ.จุรีรัตน์ ยังเน้นย้ำว่า ปัจจุบันการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีทำได้ด้วยยา PrEP แต่ยังมีผู้ใช้ไม่ถึง 20% ของกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะเยาวชนและชายรักร่วมเพศ แม้ผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงจากสูงสุดปี 2535 ราว 140,000– 150,000 คนต่อปี เหลือประมาณ 8,000 คนต่อปี แต่จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมยังอยู่ที่ราว 550,000 คน ซึ่งต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ พญ.จุรีรัตน์ ชี้ว่า ยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเอดส์ระยะสุดท้ายว่าผู้ติดเชื้อจะต้องเสียชีวิต ซึ่งไม่เป็นความจริง และยังพบว่ามีธุรกิจบางแห่งหาผลประโยชน์จากโรคนี้ ทั้งการรับบริจาคและโฆษณาผลิตภัณฑ์เกินจริง
สำหรับอนาคตของการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวี นายกสมาคมโรคเอดส์ฯ ยืนยันว่า งบประมาณรักษาผู้ป่วยในปี 2568 เพียงพอ ทั้งงบการรักษา 3,519.7 ล้านบาท และงบป้องกันการติดเชื้อ 689.7 ล้านบาท เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับยาต้านไวรัสและมีคุณภาพชีวิตที่ดี การสร้างความเข้าใจในสังคมและลดการตีตราผู้ติดเชื้อยังถือเป็นโจทย์สำคัญ เพื่อให้ผู้ติดเชื้อกล้าที่จะเข้ารับการรักษาและลดการแพร่เชื้อในสังคม
พญ.จุรีรัตน์ สรุปว่า ด้วยความก้าวหน้าของการรักษา ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถมีชีวิตที่เป็นปกติ ไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่น และสามารถวางแผนครอบครัวได้อย่างปลอดภัย การให้ความรู้และการเข้าถึงยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องถือเป็นหัวใจสำคัญในการควบคุมการระบาดและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ติดเชื้อทุกคน
ด้าน นางยุพา สุขเรือง ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี-เอดส์ ประเทศไทย กล่าวว่า สิทธิประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวีมีการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการรักษาด้วยยาต้านไวรัสที่มีผลข้างเคียงน้อยและเป็นมิตรต่อผู้ติดเชื้อ ปัจจุบันผู้ที่ตรวจพบว่าติดเชื้อสามารถเข้ารับการรักษาได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ป่วย และผู้ที่ใช้ยาต้านไวรัสมานานหรือมีโรคร่วม รวมถึงผู้สูงอายุ ก็มีสูตรยาที่เหมาะสมกับตัวเอง ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
นางยุพา กล่าวต่อว่า ผู้ติดเชื้อที่กินยาต้านไวรัสต่อเนื่องจนตรวจไม่พบเชื้อในเลือด “เท่ากับ” ไม่สามารถส่งต่อเชื้อให้คนอื่นได้ หรือที่เรียกว่า U=U ซึ่งช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีความมั่นใจในการใช้ชีวิตมากขึ้น และย้ำว่าในปัจจุบันไม่มีคำว่า “ระยะสุดท้าย” อีกต่อไป เพราะหากมีโรคแทรกซ้อนก็สามารถรักษาได้ หลายโรคยังป้องกันก่อนป่วยได้
ด้านการตรวจคัดกรอง เธอกล่าวว่า หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน สามารถเข้ารับการตรวจเอชไอวีได้ฟรี และคนไทยทุกสิทธิการรักษาสามารถเข้าถึงการตรวจโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย การตรวจเร็ว รู้ผลไว จะช่วยให้วางแผนดูแลสุขภาพได้ทันเวลา ไม่ว่าจะติดเชื้อหรือไม่
นางยุพา ยังเน้นถึงปัญหาการเลือกปฏิบัติและละเมิดสิทธิผู้ติดเชื้อในบางพื้นที่ เช่น เด็กของผู้ติดเชื้อไม่ได้เข้าเรียนหรือถูกสอนที่บ้าน ต้องไปเรียนที่อื่นไกลบ้าน เพื่อนผู้ติดเชื้อบางคนถูกบังคับตรวจเลือดก่อนเข้าทำงาน ถูกกีดกันจากโอกาสทางอาชีพ และบางคนแม้ต้องการบวชก็ไม่ได้รับอนุญาตจนกว่าจะแสดงผลเลือด เธอเรียกร้องให้หน่วยงานรัฐแก้ไขกฎระเบียบที่ล้าหลัง ปรับปรุงกระบวนการสมัครเรียนหรือเข้าทำงานให้ปราศจากอคติ
“เป้าหมายของเครือข่ายผู้ติดเชื้อฯ คือให้ผู้ติดเชื้อใช้ชีวิตในสังคมได้เหมือนคนทั่วไป เรียน ทำงาน มีครอบครัว มีลูก และเข้าร่วมกิจกรรมในชุมชนได้อย่างเต็มที่ แม้เป็นเรื่องพื้นฐาน แต่ยังเป็นความท้าทายที่ต้องให้ทุกภาคส่วนร่วมแรงร่วมใจช่วยกันทำให้บรรลุ” นางยุพากล่าว พร้อมย้ำว่า นโยบายยุติเอดส์ตามเป้าหมาย 3 ประการ คือ ลดผู้ติดเชื้อรายใหม่ ลดการเสียชีวิตจากเอดส์ และลดการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อ สามารถทำได้จริง หากทุกฝ่ายให้ความร่วมมือ
ขณะที่ นายแพทย์พงศ์ธร ชาติพิทักษ์ ผู้อำนวยการกองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ยังมีชีวิตอยู่ประมาณ 550,000 คน ในจำนวนนี้มากกว่า 400,000 คนได้รับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถกดไวรัสในร่างกายจนตรวจไม่พบและไม่สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้ หรือที่เรียกว่า U=U ขณะที่ผู้ติดเชื้อหลายแสนคนอยู่กับเชื้อมานานกว่า 10 ปี บางคนมากกว่า 20 ปี และมีผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อมานานกว่า 30 ปี แม้ติดเชื้อมานาน แต่ยังมีสุขภาพแข็งแรงและใช้ชีวิตได้ตามปกติ แสดงให้เห็นว่าระบบบริการสุขภาพของไทยสามารถดูแลผู้ติดเชื้อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี
อย่างไรก็ตาม นายแพทย์พงศ์ธร เตือนว่าโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ยังคงเป็นเรื่องต้องเฝ้าระวัง โดยเฉพาะซิฟิลิสที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกลุ่มอายุ 15–24 ปี สะท้อนถึงพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัยและเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี นอกจากนี้ การใช้ถุงยางอนามัยยังลดลงจาก 80% ในปี 2562 เหลือ 70% ในปี 2567 และมีการใช้ทุกครั้งเพียง 43%
เพื่อแก้ปัญหา กรมควบคุมโรคเน้นให้ประชาชนเข้าถึงการป้องกันและรักษาได้ง่ายขึ้น ทั้งการส่งเสริมการใช้ถุงยางอนามัย การเพิ่มทางเลือกป้องกันด้วย PrEP และการตรวจเอชไอวีให้เป็นเรื่องปกติ ตรวจเร็ว รักษาได้ ใช้ชีวิตปกติ และมีคุณภาพชีวิตดี
นายแพทย์พงศ์ธร ยังย้ำถึงเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ว่า ภายในปี 2573 ประเทศไทยตั้งเป้าลดผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ให้น้อยกว่า 1,000 คนต่อปี ลดการเสียชีวิตจากเอดส์ให้น้อยกว่า 4,000 คนต่อปี และลดการตีตราและเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อให้เหลือน้อยกว่า 10% ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อสร้างสังคมปลอดภัยสำหรับทุกคน
หลังจากจบการแถลงข่าว นพ.มนูญ ลีเชวงศ์ กรรมการและที่ปรึกษาสมาคมโรคเอดส์แห่งประเทศไทย เปิดเผย ให้ข้อมูลเพิ่มเติมโดยกล่าวว่า มีเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อราว 21 ปีก่อน ขณะนั้นตนทำงานอยู่ในฐานะกรรมการสมาคมโรคเอดส์ฯ และมีพยาบาลชาสวิตเซอร์แลนด์รายหนึ่ง ชื่อ “ลิซ่า” มาทำงานที่วัดพระบาทน้ำพุได้ประมาณ 10 เดือน
ซึ่งตอนนั้นในช่วงแรกยังไม่มียาต้านไวรัส แต่ต่อมา อ.พญ.จุรีจัตน์ ได้จัดหายาต้านไวรัสมาให้จำนวน 53 คน โดยเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูง ผลข้างเคียงต่ำ และสามารถเบิกจากโรงพยาบาลใกล้เคียงได้ พยาบาลลิซ่าจึงนำยานี้ไปให้ผู้ป่วย 50 กว่าคน พร้อมตรวจร่างกายและบันทึกประวัติไว้ครบถ้วน หลังจากรับประทานยาเพียง 4 – 5 เดือน อาการผู้ป่วยที่อยู่ในระยะสุดท้ายของโรคเอดส์ก็ค่อย ๆ ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แต่ต่อมาทางวัดกลับมีคำสั่งห้ามแจกยาต้านไวรัส พร้อมทั้งนำยาที่มีอยู่ไปทิ้ง แฟ้มประวัติผู้ป่วยทั้งหมดก็ถูกทำลาย นอกจากนี้ยังมีการกลั่นแกล้งคุณลิซ่า เช่น เจาะยางรถจักรยานยนต์ รวมถึงอาสาสมัครรายอื่นที่ขับรถพาผู้ป่วยไปรับยาตามโรงพยาบาลก็ถูกเจาะยางเช่นเดียวกัน จนสุดท้ายทุกคนถูกไล่ออกจากวัดทั้งหมด
หลังจากนั้นลิซ่ามาปรึกษาตนในฐานะกรรมการสมาคมโรคเอดส์ฯ และเล่าเรื่องทั้งหมด แต่ตนไม่สามารถทำอะไรได้มาก จึงได้เพียงติดตาม กระทั่งนักข่าวชาวต่างชาติชื่อ แอนดรูว์ มาร์แชล เขียนเรื่องนี้ลงใน Sunday Times เมื่อราว 17 ปีก่อน และบรรยายถึงวัดพระบาทน้ำพุ จนกลายเป็นประเด็นที่ทำให้ประเทศไทยและวัดไทยเสียชื่อเสียง
ต่อมาเมื่อราว 11 ปีก่อน นักข่าวบางกอกโพสต์ได้นำเรื่องนี้มาตีแผ่อีกครั้ง โดยสัมภาษณ์ลิซ่าและลงรายละเอียดทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้รับความสนใจจากคนส่วนใหญ่
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ตนเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปิดเผยเรื่องนี้อีกครั้ง จึงติดต่อกับนักข่าวคนดังกล่าว และให้แปลบทสัมภาษณ์ลิซ่าเป็นภาษาไทยเผยแพร่ลงในเฟซบุ๊ก ภายในวันเดียวเรื่องนี้ก็ถูกสื่อนำไปเผยแพร่อย่างกว้างขวาง
ตนมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นสร้างความเสื่อมเสีย เนื่องจากต่างประเทศรับรู้ แต่คนไทยกลับไม่รู้ และสาเหตุที่เก็บเงียบมาตลอด 20 ปีก็เพราะกังวลเรื่องความปลอดภัย ไม่กล้าพูด ทั้งที่มีบทความตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์แล้วแต่ไม่มีการดำเนินการใด ๆ ตนเชื่อว่าวัดน่าจะมีเส้นสายมาก จึงไม่ถูกตรวจสอบ และที่เลือกพูดตอนนี้เพราะเชื่อว่าประชาชนจะรับฟัง และความเสี่ยงคงน้อยลง หลังจากที่อึดอัดมาตลอดว่าทำไมต้องนำผู้ป่วยมาเป็นเครื่องมือในการหารายได้ เมื่อเรื่องนี้ถูกพูดถึงอีกครั้ง ตนจึงรู้สึกดีใจที่ได้ทำประโยชน์ให้สังคม
ส่วนประเด็นผู้ป่วยที่ยังคงอาศัยอยู่ในวัดพระบาทน้ำพุในปัจจุบัน นพ.มนูญ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยเหลืออยู่ประมาณ 100 กว่าคน ซึ่งสามารถย้ายไปอยู่สถานพยาบาลอื่นได้
ข่าวเวิร์คพอยท์23